DSpace Collection:http://dspace.spu.ac.th/handle/123456789/27032024-03-15T20:22:40Z2024-03-15T20:22:40ZThe Strength Reduction Factors for Reinforced Concrete Design Standards Based on Thailand Statistical Dataฉัตร สุจินดาhttp://dspace.spu.ac.th/handle/123456789/37962016-09-24T12:19:38Z2555-08-05T15:25:09ZTitle: The Strength Reduction Factors for Reinforced Concrete Design Standards Based on Thailand Statistical Data
Authors: ฉัตร สุจินดา
Abstract: The strength reduction factors recommended in the reinforced concrete design standard EIT 1008-38 were adopted from the American ACI318-89 code. These factors were based on the analyses of statistical material and construction quality data collected in USA which may differ from Thailand. It will be more appropriate if these strength reduction factors are selected based on the data collected in Thailand. Nowadays, two sets of strength reductions factored were recommended in the draft building codes: case 1 when good quality of the materials and construction were specified. In this case, the strength reduction factors were totally the same as in the ACI318-99 code. Case 2 when good quality of the material and construction used were not specified. In the latter, 5/6 times of the strength reduction factors recommended in case 1 were used. However, there is no any scientific proof or evidence of the accuracy of this number 5/6. This paper presents brief process and results of structural reliability analyses to select the appropriate strength reduction factors based on the statistical material and construction data collected in Thailand for the case 2 from the other research. From this study, the chosen strength reduction factors are 0.80 for beam flexure, 0.87 for beams shear and 0.62 for tied column axial. These factors were found to be different from those recommended for draft building codes for case 2. However, dues to the limited numbers of data available, it is suggested that more study must be conducted to ensure the correctness of these factors before any adoption to Thailand building codes2555-08-05T15:25:09Zตัวตรวจวัดแสงทวีคูณแบบหลอดสูญญากาศ Photomultiplier tubes: PMT: (ตอน3)Sanya Khunkhaohttp://dspace.spu.ac.th/handle/123456789/37912016-09-24T12:19:14Z2555-08-05T14:30:50ZTitle: ตัวตรวจวัดแสงทวีคูณแบบหลอดสูญญากาศ Photomultiplier tubes: PMT: (ตอน3)
Authors: Sanya Khunkhao
Abstract: ตัวตรวจจับแสงทวีคูณแบบสูญญากาศเป็นตัวตรวจจับทางแสงที่มีการตอบสนองทางเวลาที่รวดเร็ว โดยที่การตอบสนองทางเวลาสามารถตรวจพบได้จากเวลาการส่งผ่านเมื่อแสงตกกระทบที่ขั้วคาโทด ก่อให้เกิดการปลดปล่อยอิเล็กตรอนเคลื่อนด้วยความเร่งเข้าสู่ขั้วแอโนดภายหลังจากการทวีคูณ ด้วยการออกแบบตัวตรวจจับแสงทวีคูณมีช่องหน้าต่างรับแสงที่เป็นทรงกลมทำให้ความแตกต่างของเวลาการส่งผ่านต่ำสุด ทำให้การตอบสนองจะรวดเร็วมาก
Description: Electrical&Control วิทยาการไฟฟ้าและระบบควบคุม สำหรับวิศวกรและช่างเทคนิคในวงการอุตสาหกรรมและอาคาร2555-08-05T14:30:50Zตัวตรวจวัดแสงทวีคูณแบบหลอดสูญญากาศ Photomultiplier tubes: PMT: (ตอน 2)Sanya Khunkhaohttp://dspace.spu.ac.th/handle/123456789/37902016-12-16T04:55:57Z2555-08-05T14:26:30ZTitle: ตัวตรวจวัดแสงทวีคูณแบบหลอดสูญญากาศ Photomultiplier tubes: PMT: (ตอน 2)
Authors: Sanya Khunkhao
Abstract: ตัวตรวจจับแสงทวีคูณสามารถเปลี่ยนพลังงานของแสงให้เป็นสัญญารทางไฟฟ้า โดยมีการขยายสัญญาณให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมโดยการให้อิเล็กตรอนมีการเพิ่มจำนวนมากขึ้น เมื่ออิเล็กตรอนที่ถูกกระต้นจากแสงจะมีการปลดปล่อยอิเล็กตรอนเข้าสู่ในระบบการตรวจจับ จากนั้นจะทำการปรับโฟกัส และความเร่งของลำอิเล็กตวามเพิ่มขึ้น
Description: Electrical&Control วิทยาการไฟฟ้าและระบบควบคุม สำหรับวิศวกรและช่างเทคนิคในวงการอุตสาหกรรมและอาคาร2555-08-05T14:26:30Zการศึกษาความเป็นไปได้ในการนำน้ำมันยางมาผลิตไบโอดีเซลทีปกร คุณาพรอภิรักษ์ สวัสดิ์กิจพิสุทธิ์ รัตนแสนวงศ์วรพจน์ พันธุ์คงhttp://dspace.spu.ac.th/handle/123456789/37862016-09-24T12:19:31Z2555-08-05T07:23:51ZTitle: การศึกษาความเป็นไปได้ในการนำน้ำมันยางมาผลิตไบโอดีเซล
Authors: ทีปกร คุณาพร; อภิรักษ์ สวัสดิ์กิจ; พิสุทธิ์ รัตนแสนวงศ์; วรพจน์ พันธุ์คง
Abstract: บทความนี้ เป็นการศึกษาการนำน้ำมันยางดิบจากต้นยางซึ่งเป็น พืชน้ำมันชนิดหนึ่ง มาผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซลสำหรับเครื่องยนต์ เพื่อ ใช้เป็นพลังงานทดแทนอีกรูปแบบหนึ่ง ขั้นตอนการศึกษาเริ่มจากการ นำน้ำมันยางดิบที่ได้จากต้นยางมาให้ความร้อนในถังกลั่น จากอุณหภูมิ 27 °C จนเพิ่มขึ้นประมาณ 78 °C น้ำมันยางดิบก็จะเริ่มเดือนและ ระเหยกลายเป็นไอสะสมอยู่ในถังกลั่นจนอุณหภูมิเพิ่มเป็น 270 °C จึง นำไปผ่านชุดคอนเดนเซอร์ เพื่อควบแน่นเป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้อง ก็จะได้น้ำมันยางและกากยางซึ่งนำไปใช้ประโยชน์ได้ ข้อมูลจากการก ลั่นพบว่าน้ำมันยางดิบปริมาตร 800 mL. จะผลิตเป็นน้ำมันยางได้ ประมาณ 690 mL. จากนั้นจึงนำน้ำมันยางและน้ำมันดีเซลไปทดลองหา ค่าความร้อนเชื้อเพลิงใน bomb calorimeter เพื่อเปรียบเทียบกันได้ค่า ความร้อนของน้ำมันยางประมาณ 10,000.40 cal/g น้ำมันดีเซล ประมาณ 10,657.60 cal/g ซึ่งใกล้เคียงกันมาก เมื่อนำน้ำมันยางที่ได้ ไปผสมกับน้ำมันดีเซลในสัดส่วน 10% 15% และ 20% โดยปริมาตรจน ได้น้ำมันไบโอดีเซล B10 B15 และ B20 น้ำมันไบโอดีเซลที่ได้นี้ถูกนำ ไปทดลองใช้กับเครื่องยนต์ดีเซล NISSAN 4 สูบ 4 จังหวะ 3,000 ซีซี ที่ ความเร็วรอบต่าง ๆ ระหว่าง 1,000 – 2,100 rpm ในช่วงเวลาการ ทดลองที่เท่ากัน พบว่าการสิ้นเปลืองของน้ำมันไบโอดีเซลจะน้อยกว่า น้ำมันดีเซลเล็กน้อยขึ้นอยู่กับเปอร์เซ็นต์ของส่วนผสม เปอร์เซ็นต์ควัน ดำและค่าความหนืดของไบโอดีเซลจะสูงกว่าน้ำมันดีเซล คำสำคัญ : ไบโอดีเซล / น้ำมันยาง / พืชน้ำมัน2555-08-05T07:23:51Z