Please use this identifier to cite or link to this item: http://dspace.spu.ac.th/handle/123456789/1195
Title: มาตรการทางกฎหมายในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินตามมาตรา 13 ของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินพ.ศ.2542 : ศึกษาเฉพาะกรณีการควบคุมการฟอกเงินในการทำธุรกรรมกับธนาคารพาณิชย์
Authors: นันทชัย คำกิ่ง
Keywords: กฎหมาย
การฟอกเงิน
พระราชบัญญัติ
ธุรกรรม
ธนาคารพาณิชย์
สถาบันการเงิน
Issue Date: 4-July-2551
Abstract: จากการศึกษา เรื่อง มาตรการทางกฎหมายในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินตามมาตรา 13 ของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 : ศึกษาเฉพาะกรณีการควบคุมการฟอกเงินในการทำธุรกรรมกับธนาคารพาณิชย์ มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาเพื่อศึกษาประวัติวิวัฒนาการ แนวคิด รูปแบบการฟอกเงิน ทฤษฏีของพระราชบัญญัติการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 รวมถึงวิเคราะห์ถึงบทบาทและหน้าที่ของธนาคารพาณิชย์ และวิธีการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมเงินสด ธุรกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สิน และธุรกรรมอันน่าสงสัย ของธนาคารพาณิชย์ ผลการศึกษาครั้งนี้พบว่า แหล่งที่มาของเงินหรือทรัพย์สินที่ถูกนำมาทำให้สะอาด สถานที่สำหรับการฟอกเงิน และรูปแบบการฟอกเงินมีความหลากหลายมากขึ้นตามการพัฒนาสังคม โดยสถานที่เหมาะแก่การทำธุรกรรมเพื่อฟอกเงินก็คือ ธนาคารพาณิชย์ โดยธนาคารพาณิชย์เป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญในการควบคุมตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 13 ธุรกรรมที่สถาบันการเงินต้องรายงานต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (1) ธุรกรรมที่ใช้เงินสดมีจำนวนเกินกว่าที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง (2) ธุรกรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่มีมูลค่าเกินกว่าที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง หรือ (3) ธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นธุรกรรมตาม (1) หรือ (2) หรือไม่ก็ตาม มาตรการการควบคุมการฟอกเงิน ทั้งสามมาตรการสกัดกั้นมิให้มีการเปลี่ยนสภาพเงินหรือทรัพย์สิน ที่ได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือไม่สุจริต ให้กลายเป็นเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาโดยถูกกฎหมายหรือพิสูจน์ไม่ได้ว่า เป็นการได้เงินหรือทรัพย์สินนั้นมาโดยทุจริตโดยมีหลักเกณฑ์ที่สำคัญ คือ กำหนดให้การฟอกเงินเป็นความผิดทางอาญา และกำหนดให้ธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ มีหน้าที่ต้องรายงานการเคลื่อนไหวของธุรกรรม ตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 อีกทั้งยังเป็นมาตรการในการช่วยยับยั้งการฟอกเงินได้ด้วย จึงกำหนดให้สถาบันการเงินและบุคคลที่เกี่ยวข้อง มีหน้าที่ต้องรายงานการทำธุรกรรม และการแสดงตนของลูกค้า เพื่อเป็นการทำความรู้จักกับลูกค้าของตนให้ดี และวัตถุประสงค์ที่สำคัญนั้นก็เพื่อให้สถาบันการเงิน ใช้มาตรการที่สมเหตุสมผลในการตรวจสอบข้อมูลที่แท้จริง เกี่ยวกับตัวลูกค้า รวมทั้งหลีกเลี่ยงไม่ให้มีการใช้บัญชีที่ไม่มีชื่อ หรือบัญชีชื่อปลอม หรือบัญชีที่ไม่ระบุชื่อของเจ้าของอย่างแท้จริง อันจะเป็นช่องว่างในการฟอกเงินได้ โดยการกำหนดให้สถาบันการเงินนั้น ต้องมีหน้าที่ในการรายงานธุรกรรมนั้น ถือว่าเป็นการควบคุมการทำธุรกรรมโดยมีหลักเกณฑ์ที่กำหนดเบื้องต้นนั้นเป็นการใช้มูลค่าของธุรกรรมข้อแรก กล่าวคือสถาบันการเงินนั้น มีหน้าที่ต้องรายงานธุรกรรม ต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เมื่อมีการทำธุรกรรมของลูกค้าในสถาบันการเงิน ในรูปแบบต่าง ๆ นอกเหนือจากการทำรายงานงบการเงินต่อธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นหน้าที่อันพึงต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน เงินทุนหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ หรือกฎหมายอื่นใดที่เป็นธุรกิจเกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินนั้น
URI: http://dspace.spu.ac.th/handle/123456789/1195
Appears in Collections:สารนิพนธ์

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
title.pdf65.26 kBAdobe PDFView/Open
abstract.pdf57.04 kBAdobe PDFView/Open
acknow.pdf29.86 kBAdobe PDFView/Open
cont.pdf35.39 kBAdobe PDFView/Open
chap1.pdf99.37 kBAdobe PDFView/Open
chap2.pdf190.7 kBAdobe PDFView/Open
chap3.pdf298.47 kBAdobe PDFView/Open
chap4.pdf273.5 kBAdobe PDFView/Open
chap5.pdf61.36 kBAdobe PDFView/Open
bib.pdf48.47 kBAdobe PDFView/Open
profile.pdf29.32 kBAdobe PDFView/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.