กรุณาใช้ตัวระบุนี้เพื่ออ้างอิงหรือเชื่อมต่อรายการนี้: http://dspace.spu.ac.th/handle/123456789/2622
ชื่อเรื่อง: ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับความผิดการทุจริต ศึกษากรณี:ผลประโยชน์ทับซ้อนของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง
ผู้แต่ง/ผู้ร่วมงาน: ณัฐพสิษฐ์ เอกมฤเคนทร์
คำสำคัญ: ปัญหากฎหมาย
การทุจริต
ผลประโยชน์ทับซ้อน
ผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง
วันที่เผยแพร่: 15-กันยายน-2554
บทคัดย่อ: เมื่อบุคคลผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองนั้นมีความเกี่ยวข้องกับภารกิจที่สาคัญของประเทศ อันได้แก่ การใช้อานาจรัฐหรืออานาจทางการเมือง (Political power) ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน การตัดสินใจใช้อานาจในตาแหน่งหน้าที่ของบุคคลผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองดังกล่าวจึงควรจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะเป็นหลัก ไม่ใช่กระทาเพื่อประโยชน์แก่ตนเองและพวกพ้อง อันมีลักษณะเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์ส่วนรวม หรือที่เรียกว่า “ผลประโยชน์ทับซ้อน” และจากการที่บุคคลดังกล่าวเป็นตัวแทนของผลประโยชน์สาธารณะและของประชาชนซึ่งได้มาจากการคัดเลือกไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม กฎหมายที่จะใช้ในการตรวจสอบการใช้อานาจในตาแหน่งหน้าที่ของบุคคลผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองดังกล่าว ก็ควรจะต้องมีความชัดเจนแน่นอนรวมทั้งเชื่อมโยงเป็นระบบและมีจุดเกาะเกี่ยวให้ประชาชนโดยทั่วไปได้มีช่องทางในการตรวจสอบการใช้อานาจของบุคคลดังกล่าวได้ แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ โดยบทบัญญัติของกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันไม่ได้มีพระราชบัญญัติที่ใช้บังคับโดยตรงเกี่ยวกับการกระทาที่เป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ส่วนรวมของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง และประชาชนโดยทั่วไปยังไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบการใช้อานาจของบุคคลดังกล่าวได้ แต่รัฐใช้วิธีการให้สานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นตัวแทนของรัฐในการตรวจสอบผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองในการใช้อานาจในตาแหน่งหน้าที่ให้กระทาการโดยสุจริตดังนั้นจากสภาพปัญหาดังกล่าวผู้ศึกษาเห็นว่าบทบัญญัติของกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบันไม่ได้กาหนดถึงความชัดเจนของตัวบุคคลผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองที่จะต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ข้อห้ามของการกระทาเพื่อเป็นการป้องกันการเกิดขึ้นของการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ส่วนรวม และความไม่สอดคล้องกันของบทบัญญัติว่าด้วยการกระทาที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามที่กาหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 267 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 100 (4) และขอบอานาจในการดาเนินคดีอาญากับผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และประชาชนโดยทั่วไป รวมทั้งการเปิดเผยทรัพย์สินของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองต่อสาธารณชน และองค์กรหลักที่จะบังคับให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการป้องกันการเกิดขึ้นของการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ส่วนรวมอันเนื่องมากจากการใช้อานาจในตาแหน่งหน้าที่สาธารณะเพราะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีภาระหน้าที่จานวนมากไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึง ผู้ศึกษาเห็นว่าควรมีการจัดทาพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างโยชน์ส่วนบุคคลและผลประโยชน์ส่วนรวมของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งจะมีการจัดตั้งหน่วยงานเพิ่มเติมที่จะให้คาปรึกษาแก่ผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่รัฐในเรื่องที่เกี่ยวกับการกระทาที่อาจก่อให้เกิดการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวม และสามารถใช้คาวินิจฉัยดังกล่าวเป็นแนวทางในการดาเนินการได้โดยปราศจากการความรับผิดที่เกิดขึ้นในอนาคต
URI: http://dspace.spu.ac.th/handle/123456789/2622
ปรากฏในกลุ่มข้อมูล:S_CHO-09. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท

แฟ้มในรายการข้อมูลนี้:
แฟ้ม รายละเอียด ขนาดรูปแบบ 
1title.pdf65.06 kBAdobe PDFดู/เปิด
2abstract.pdf147.94 kBAdobe PDFดู/เปิด
3acknow.pdf50.06 kBAdobe PDFดู/เปิด
4content.pdf111.29 kBAdobe PDFดู/เปิด
5chap1.pdf202.22 kBAdobe PDFดู/เปิด
6chap2.pdf435.32 kBAdobe PDFดู/เปิด
7chap3.pdf873.55 kBAdobe PDFดู/เปิด
8chap4.pdf216.35 kBAdobe PDFดู/เปิด
9chap5.pdf154.37 kBAdobe PDFดู/เปิด
10bib.pdf159.85 kBAdobe PDFดู/เปิด
11profile.pdf45.83 kBAdobe PDFดู/เปิด


รายการทั้งหมดในระบบคิดีได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ มีการสงวนสิทธิ์เว้นแต่ที่ระบุไว้เป็นอื่น