แรงจูงใจของนักศึกษาวิชาทหาร ชั้นปีที่ 5 ในกรุงเทพมหานครที่จะตัดสินใจเข้ารับราชการทหาร : THE MOTIVATION OF THE FITTH-YEAR THAI RESERVE OFFICER TRAINING CORPS STUDENTS (TROTCS) IN BANGKOK TO DECIDE TO JOIN THE MILITARY

Abstract

การศึกษาเรื่อง “แรงจูงใจของนักศึกษาวิชาทหาร (นศท.) ชั้นปีที่ 5 ในกรุงเทพมหานคร ที่จะตัดสินใจเข้ารับราชการทหาร” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแรงจูงใจของ นศท. ชั้นปีที่ 5 ในกรุงเทพมหานคร ที่จะตัดสินใจเข้ารับราชการทหารและเพื่อศึกษาข้อมูลปัจจัยส่วนบุคคลที่มีผลต่อการตัดสินใจสมัครเข้ารับราชการทหารของ นศท. โดยจะศึกษาจาก นศท. ทั้งชายและหญิง ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นปีที่ 5 ที่เข้ารับการฝึก ณ โรงเรียนรักษาดินแดน ศูนย์การกำลังสำรองประมาณ 643 นาย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม เป็นเครื่องมือ ในการจัดเก็บข้อมูล สถิติที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือค่าอัตราส่วนร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่ออธิบายข้อมูลโดยสรุป ผลการศึกษา พบว่า นศท. ชั้นปีที่ 5 เป็นชาย ศึกษาอยู่ในสถานศึกษารัฐบาล มีรายได้ต่อเดือนอยู่ระหว่าง 3,001 – 5,000 บาท บิดาประกอบอาชีพข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ มารดาประกอบอาชีพเกษตรกร รับจ้างใช้แรงงานทั่วไป ซึ่งข้อมูลปัจจัยส่วนบุคคลนี้มีผลต่อแรงจูงใจในการตัดสินใจเข้ารับราชการทหาร เพื่อหาอาชีพที่มีรายได้มั่นคง เป็นเสาหลักให้กับครอบครัวได้ ผลการศึกษาด้านแรงจูงใจภายในและภายนอกที่จะตัดสินใจเข้ารับราชการทหาร พบว่า แรงจูงใจภายในที่ นศท. คิดว่าการเข้ารับราชการทหารนั้น เป็นอาชีพที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี กับแรงจูงใจภายนอกที่ นศท. คิดว่าการเข้ารับราชการทหารนั้น มีโอกาส ได้ฝึกหลักสูตรและประดับเข็มแสดงความสามารถทางทหารและโอกาสอื่นๆ เพื่อพัฒนาทักษะ ความสามารถของตัวเองแต่ในเรื่องของเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยง ยังเป็นแรงจูงใจไม่มากนัก เนื่องจากรายได้ที่ได้นั้นยังคงไม่เพียงพอในเรื่องค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งแรงจูงใจภายนอกในด้านนี้ นศท. ยังให้ความสำคัญในระดับปานกลางเพียงเท่านั้น ข้อเสนอแนะ กองทัพควรมีการพิจารณาปรับปรุงอัตราเงินเดือน เบี้ยเลี้ยงให้เหมาะสมกับสภาวะค่าครองชีพและเศรษฐกิจในปัจจุบัน นอกจากนี้สิทธิต่างๆ ที่นักศึกษาวิชาทหารตัดสินใจเข้ารับราชการทหาร ตามที่มีอยู่นั้น ควรจะได้รับการตอบสนองให้เป็นไปตามสิทธิ์ที่ได้จัดวางไว้ เพื่อเป็นสิ่งจูงใจในการตัดสินใจเข้ารับราชการทหารมากขึ้น