Please use this identifier to cite or link to this item: http://dspace.spu.ac.th/handle/123456789/5613
Title: ปัญหาเกี่ยวกับสิทธิของผู้เสียหายในการนำคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
Other Titles: PROBLEMS RELATED TO RIGHTS OF THE INJURED PERSON TO FILE A LAWSUIT AT THE SUPREME COURT OF JUSTICES CRIMINAL DIVISION FOR THE PERSONS HOLDING POLITICAL POSITIONS
Authors: มณฑิตา ผลประเสริฐ
Keywords: ผู้เสียหาย
สิทธิของผู้เสียหายในการฟ้องคดี/ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
Issue Date: 2561
Publisher: หลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต กลุ่มวิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม.
Citation: มณฑิตา ผลประเสริฐ. 2561. "ปัญหาเกี่ยวกับสิทธิของผู้เสียหายในการนำคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง." วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต กลุ่มวิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม.
Series/Report no.: SPU_มณฑิตา ผลประเสริฐ _2561
Abstract: วิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษาความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา แนวคิดการดำเนินคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และมาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิของผู้เสียหายในการนำคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผลการศึกษาถึงปัญหาในการใช้สิทธิของผู้เสียหาย (Injured Person) ในการฟ้องคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พบว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 23 กำหนดไว้แต่เพียงว่าให้ผู้มีอำนาจฟ้องคดีอาญาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ได้แก่ อัยการสูงสุด (the Prosecutor General) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (the National Counter Corruption Commission) เท่านั้น จึงเป็นปัญหาว่าในกรณีผู้เสียหายจะเป็นโจทก์ฟ้องคดีเองนั้นไม่อาจฟ้องคดีหรือดำเนินการในการเริ่ม ฟ้องคดีตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ได้ บทบัญญัติดังกล่าวมีลักษณะเป็นการลิดรอนสิทธิของผู้เสียหายในการเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาต่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ เนื่องจากผู้เสียหายเป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำความผิด อีกทั้งผู้เสียหายในคดีอาญายังคงเป็นพยานหลักฐานสำคัญที่ดีที่สุดของกระบวนการค้นหาความจริงเกี่ยวกับคดีอาญาอันนำไปสู่การลงโทษผู้กระทำความผิด (Offender) ในที่สุด ดังจะเห็นได้ว่าผู้เสียหายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ดังนั้น การตัดอำนาจของผู้เสียหายอย่างสิ้นเชิงอาจส่งผลกระทบในทางปฏิบัติและต่อกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ การให้อำนาจผู้เสียหายในการฟ้องคดีอาญาย่อมจะเป็นเปิดโอกาสให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายโดยตรงสามารถดำเนินการตรวจสอบหน่วยงานของรัฐได้ และยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายได้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรม (Judicial Process) ได้โดยตรง อันเป็นการคุ้มครองและเป็นการประกันต่อสิทธิของผู้เสียหาย ซึ่งสอดคล้องกับหลักนิติรัฐ (Legal State) ดังนั้น จึงต้องให้ความสำคัญกับสิทธิของผู้เสียหายให้สามารถฟ้องคดีอาญาต่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้เอง ตลอดจนมีสิทธิ ในการขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในกรณีที่อัยการสูงสุดหรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้ฟ้องคดี เพื่อเป็นการยกระดับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ที่บัญญัติเรื่องสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยไว้ในมาตรา 41 ที่กำหนดให้บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิฟ้องหน่วยงานของรัฐให้รับผิดเนื่องจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ และสอดคล้องกับบทบัญญัติมาตรา มาตรา 78 กำหนดให้รัฐพึงส่งเสริมให้ประชาชนและชุมชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ (Inspection of the Exercise of State Power) และการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (Counter Corruption and Wrongful Conduct) เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ผู้เขียนจึงมีข้อเสนอแนะที่ได้จากการศึกษาวิเคราะห์ โดยเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 โดยการกำหนดให้ผู้เสียหายมีอํานาจฟ้องคดีอาญาตามพระราชบัญญัติดังกล่าว และมีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับอัยการสูงสุดหรือคณะกรรมการ ป.ป.ช ได้
Description: มณฑิตา ผลประเสริฐ. ปัญหาเกี่ยวกับสิทธิของผู้เสียหายในการนำคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง.วิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต กลุ่มวิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม พ.ศ. 2561.
URI: http://dspace.spu.ac.th/handle/123456789/5613
Appears in Collections:LAW-09. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท



Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.