ประชาธิปไตย
:
จากทุนนิยมเสรี
สู่วิถีธรรมาธิปไตย
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันพุธที่ 22 ธันวาคม
2547
แม้หลาย ๆ คนจะถือว่า
ระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่ระบอบการปกครองที่ดีที่สุด
เป็นเพียงระบอบการปกครองที่เลวน้อยที่สุดก็ตาม
แต่ระบอบการปกครองแบบนี้ก็ได้รับความนิยมไปทั่วโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสม์ในสหภาพโซเวียตและยุโรปตะวันออก อันถือได้ว่า
เป็นความยิ่งใหญ่และชัยชนะอันสูงสุดของลัทธิประชาธิปไตย
ในขณะเดียวกัน
การที่โลกส่วนใหญ่ที่ปกครองด้วยด้วยระบอบประชาธิปไตยยังต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ
ก็เป็นเครื่องบ่งบอกอยู่ในตัวว่า
ในปัจจุบันประชาธิปไตยยังมิใช่ทางออกที่ดีที่สุด
และมนุษย์เองก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จในการที่จะจัดสรรระบบความเป็นอยู่ของมนุษย์ด้วยกันเองให้ลงตัวได้ดีที่สุด
โดยทั่วไปแล้ว
ประชาธิปไตยสามารถพิจารณาได้ใน
2 ลักษณะ คือ ทั้งในแง่รูปแบบและเนื้อหา ทั้งสองส่วนนี้ต้องอิงอาศัยกันและกัน รูปแบบหรือระบบที่ดี ไม่ว่าจะเป็นระบบพรรคการเมือง การเลือกตั้ง การจัดตั้งรัฐบาล รัฐสภาที่ดีเป็นต้น
ย่อมจะช่วยรักษาและพัฒนาเนื้อหาหรือสาระของประชาธิปไตยให้สมบูรณ์ได้ อย่างไรก็ตาม ส่วนที่สำคัญที่สุด ก็คือ
เนื้อหาสาระของประชาธิปไตย
การมีรูปแบบหรือระบบที่ดีนั้นก็เพื่อที่จะรักษาเนื้อหาสาระนี้ไว้
พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตโต) วัดญาณเวศกวัน จังหวัดนครปฐม
พระเถระนักปราชญ์ร่วมสมัยที่ได้รับการยอมรับจากทั้งในและนอกประเทศ
ได้เสนอแนวคิดที่เป็นแง่คิดและข้อสังเกตเกี่ยวกับประชาธิปไตยไว้อย่างน่าสนใจ จึงขอนำเอาสาระที่สำคัญมานำเสนอ
เพื่อเป็นเครื่องตรวจสอบประชาธิปไตยในปัจจุบันนี้ว่า มีสถานภาพเช่นใด และควรจะเป็นอย่างไรเป็นต้น
การปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้น
เป็นระบบการปกครองที่จัดสรรสังคมเพื่อให้เกิด โอกาส
ที่ดีที่สุดในการสร้างสรรค์
ที่จะทำให้ชีวิตและสังคมบรรลุประโยชน์สูงสุด
โอกาสจึงเป็นสิ่งที่ประชาธิปไตยให้เพื่อให้แต่ละบุคคลได้มีโอกาสที่จะพัฒนาตัวเอง พัฒนาชีวิตและพัฒนาศักยภาพของตน ให้ชีวิตเจริญงอกงาม
และให้ประชาชนเหล่านั้นแต่ละคนมีโอกาสที่จะนำเอาศักยภาพของตนออกไปร่วมสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าและประโยชน์สุขให้แก่สังคม เช่น
ด้วยการมีสิทธิเสรีภาพในการเลือกตั้งและสมัครรับเลือกตั้ง
เพื่อที่จะให้ โอกาส ทั้งสองด้านดังกล่าวนี้เกิดขึ้นและมาบรรจบกัน
ระบบประชาธิปไตยจึงมีหลักการสำคัญ
3 ข้อ เพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างโอกาส
คือ
1.
เสรีภาพ (liberty, freedom) ความเป็นอิสระ ไม่มีอะไรมากีดกั้นจำกัด หรือความมีสิทธิที่จะทำจะพูดได้ โดยไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น ภายใต้เงื่อนไข ข้อกำหนด หรือความคุ้มครองของกฎหมาย
เสรีภาพนี้เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างและเปิดโอกาสให้ศักยภาพที่มีอยู่ในแต่ละบุคคลให้ออกมามีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สังคม
2.
เสมอภาค (equality) หรือสมานภาพ
ความเสมอภาค
ความมีสมานฉันท์
หรือการร่วมสุขร่วมทุกข์ ร่วมในการสร้างสรรค์หรือแก้ไขปัญหา เสมอภาคโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่ดูถูกดูหมิ่นเหยียดหยามกัน
รวมทั้งไม่เอารัดเอาเปรียบกัน
การใช้เสรีภาพในข้อที่ 1 จึงต้องมีขอบเขตในการที่จะไม่ก้าวล้ำ ไม่ละเมิดต่อผู้อื่น
มีโอกาสที่จะใช้เสรีภาพอย่างเท่าเทียมกัน
3.
ภราดรภาพ
(fraternity) หรือความสามัคคี
เอกภาพหรือเอกีภาพ
ความเป็นพี่เป็นน้องกัน
ความประสานรวมเข้ากันได้
หรือการรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เป็นฐานและเป็นสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้การใช้เสรีภาพและความเสมอภาค เกิดผลงอกงามและสัมฤทธิ์ผล
เนื้อหาสาระของประชาธิปไตยทั้งสามประการนี้
จะต้องเป็นไปโดยผสมผสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การใช้เสรีภาพ และสมานภาพ/ความเสมอภาค จะต้องกระทำโดยการประสานร่วมมือและรวมกำลังกัน โดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่การเปิดโอกาส
เพื่อนำเอาศักยภาพของทุกคนออกมาร่วมกันสร้างสรรค์สังคมให้ร่มเย็นเป็นสุข
หากตรวจสอบดูเนื้อหาประชาธิปไตยในโลกปัจจุบันนี้ จะพบว่า
ได้ถูกอิทธิพลของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเข้าครอบงำหรือแทรกแซง
จนกลายเป็นประชาธิปไตยแบบทุนนิยมหรือประชาธิปไตยแบบตลาดเสรี (free-market
democracy) จึงเป็นที่น่าสงสัยว่า
หลักการประชาธิปไตยในปัจจุบันนี้
ยังเป็นหลักการที่แท้จริงหรือไม่
เพราะความหมายของเสรีภาพถูกเน้นหนักไปในแง่ของการมีโอกาสที่จะแย่งชิงผลประโยชน์กัน
เมื่อความหมายของเสรีภาพเริ่มเขว ความเสมอภาคก็เขวตามไปด้วย
ความเสมอภาคแทนที่จะเป็นเครื่องมือมาช่วยสมานสังคม ก็กลายเป็นเครื่องสร้างความแตกแยก
โดยมีความหมายในเชิงแก่งแย่งผลประโยชน์กัน
ภราดรภาพหรือความสามัคคีประสานร่วมมือและรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการสร้างสรรค์สังคมก็ไม่เกิดขึ้น
ดังนั้น
ทุกคนจึงต้องหันมาทบทวนและตรวจสอบความหมายของหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตยว่า
ยังเป็นไปตามหลักการที่แท้จริงหรือไม่
หรือถูกครอบงำด้วยแนวคิดทางด้านเศรษฐกิจแบบทุนนิยมหรือลัทธิการตลาดเสรี วาทะของประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น ที่ว่า ประชาธิปไตยเป็นการปกครองของประชาชน
โดยประชาชน
เพื่อประชาชน
เป็นการเตือนให้ตระหนักว่า
คุณภาพของประชาธิปไตย
อยู่ที่คุณภาพของประชาชนเป็นสำคัญ
ถ้าประชาชนมีคุณภาพดี
ประชาธิปไตยก็มีคุณภาพดีด้วย
ถ้าประชาชนมีคุณภาพต่ำ
ประชาธิปไตยก็จะเป็นประชาธิปไตยอย่างเลวด้วย
เพราะคุณภาพของประชาธิปไตยขึ้นต่อคุณภาพของประชาชน
และคุณภาพของประชาชนก็ขึ้นต่อคุณภาพของการศึกษา
การสร้างสรรค์ประชาธิปไตย
จึงต้องเริ่มจากการพัฒนาและสร้างสรรค์คุณสมบัติแห่งความเป็นประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นในแต่ละบุคคล คุณสมบัติดังกล่าว เรียกว่า
ธรรมาธิปไตย ซึ่งหมายถึงแต่ละคนจะต้องถือธรรมเป็นใหญ่ ยึดถือความจริง ถือหลักการ ตลอดจนกฎเกณฑ์กติกาเป็นใหญ่
เป็นมาตรฐานหรือเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจ เรียกสั้น ๆ ว่า หลักการ หรือ ธรรม ซึ่งมี 2 ระดับ
คือ
1.
หลักการคือตัวความจริง ความถูกต้องดีงาม
ความเป็นเหตุผลในสิ่งทั้งหลายที่เป็นความจริงอยู่โดยธรรมดาในธรรมชาติ
2.
หลักการที่มนุษย์บัญญัติวางขึ้น โดยใช้ปัญญาพิจารณาถึงความจริง
ความถูกต้องดีงามในข้อ 1. แล้วยกขึ้นมาตั้งเป็นข้อกำหนดในสังคม ให้ทุกคนยึดถือปฏิบัติตาม เช่นวางเป็นกฎเกณฑ์ กติกา หรือกฎหมาย
ถ้าบุคคลใดยึดถือธรรม คือ หลักการตามความหมาย 2 อย่างข้างต้นนั้นเป็นใหญ่
คือ เป็นมาตรฐานหรือเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจ บุคคลผู้นั้นก็เป็นธรรมาธิปไตย
ถ้าสังคมใด มีบุคคลที่เป็นธรรมาธิปไตย เข้ามาปฏิบัติการต่าง ๆ ในสังคม
โดยใช้ระบบประชาธิปไตยที่จัดตั้งไว้เป็นสื่อและเป็นเครื่องมือดำเนินการ
สังคมนั้นก็จะเป็นสังคมประชาธิปไตยที่ดี