GRA-10. วิทยานิพนธ์ปริญญาเอก

URI ถาวรสำหรับคอลเล็กชันนี้

เรียกดู

การส่งล่าสุด

ตอนนี้กำลังแสดง1 - 20 ของ 107
  • รายการ
    ปัจจัยเชิงสาเหตุของความได้เปรียบทางการแข่งขันที่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจสำนักงานบัญชี
    (มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2565-08) พัชรินทร์ บุญสวัสดิ์
    บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสมรรถนะการทำงาน ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยีสารสนเทศ ที่มีอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจสำนักงานบัญชีผ่านความได้เปรียบทางการแข่งขัน 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของสมรรถนะการทำงาน ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยีสารสนเทศ ความได้เปรียบทางการแข่งขัน ที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจสำนักงานบัญชี 3) เพื่อสร้างแบบจำลองของปัจจัยเชิงสาเหตุของความได้เปรียบทางการแข่งขันที่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจสำนักงานบัญชี งานวิจัยนี้เป็นแบบผสมผสานระหว่างเชิงคุณภาพ และการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม และการสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารสำนักงานบัญชีที่จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ จำนวน 400 ราย เป็นการสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการเฉพาะเจาะจง และทำการการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ทรงคุณวุฒิในการดำเนินการในกิจกรรมบัญชี ซึ่งเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ทั้งในด้านบัญชี และรวมถึงเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในสายงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมบัญชี จำนวน 3 ท่าน และใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติแบบจำลองสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยด้านสมรรถนะ ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยีสารสนเทศ มีอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมต่อความได้เปรียบทางการแข่งขันและผลการดำเนินงานของธุรกิจสำนักงานบัญชี 2) จากแบบจำลองพบว่า องค์ประกอบที่มีน้ำหนักมากที่สุดในแต่ละปัจจัย มีดังนี้ 2.1) ด้านสมรรถนะการทำงาน ได้แก่ ทักษะ 2.2) ด้านภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ แรงจูงใจในการสร้างแรงบันดาลใจ 2.3) ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้แก่ การจัดการความรู้เทคโนโลยีสารสนเทศ 2.4) ด้านความได้เปรียบทางการแข่งขัน ได้แก่ กลยุทธ์การสร้างความแตกต่าง 2.5) ด้านผลการดำเนินงานของธุรกิจสำนักงานบัญชี ได้แก่ ผลการดำเนินงานที่ไม่ใช่ทางการเงิน 3) การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันกับแบบจำลองสมการเชิงโครงสร้าง พบว่า ค่าดัชนีความสอดคล้องกลมกลืนของโมเดลสมมติฐาน ผ่านเกณฑ์การยอมรับ จึงสรุปได้ว่าโมเดลแบบจำลองสมการเชิงโครงสร้างมีความเหมาะสม กลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ จึงถือเป็นองค์ความรู้ใหม่ The objectives of this study are to 1) To study competency, transformational leadership, information technology that direct and indirect influence the performance of accounting firm business through competitive advantage. 2) To study the influencing of competency, transformational leadership, information technology, competitive advantage that affected to accounting firms business. 3) To create a model of the causal factors of competitive advantage influencing the performance of the accounting firms business. This research is mixed method of both quantitative research and qualitative research. The research tools are questionnaires and in-depth interviews. The sample consisted of 400 accounting firm executives registered with the Department of Business Development, Ministry of Commerce. It is a random sample with a specific method. and conducting in-depth interviews with experts in accounting activities or activities related to accounting activities for 3 persons and used statistical analysis of structure equation model. The results found that 1) performance factors transformational leadership information technology direct and indirect influence on competitive advantage and the performance of the accounting firm business. 2) from the model, it was found that the heaviest elements in each factor are as follows: 2.1) Competency factor is skills 2.2) Transformation leadership is inspiration motivation 2.3) Information technology is knowledge management on information technology 2.4) Competitive advantage factor is differentiation strategy 2.5) Performance of accounting firms factor is non-financial performance. 3) The hypothesis model's concordance index was discovered using confirmatory component analysis with the structural equation model. It was determined that the structural equation model was appropriate. Compatible with empirical data and regarded as a new knowledge.
  • รายการ
    ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของลูกค้าในธุรกิจสปาขนาดกลางและขนาดเล็กของไทย
    (Sripatum University, 2560-11-11) ณัฏฐวงศ์ ชาวเวียง
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อประสบการณ์ลูกค้า (2) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของลูกค้า (3) เพื่อศึกษาอิทธิพลของประสบการณ์ลูกค้าที่มีต่อพฤติกรรมของลูกค้า ซึ่งผู้วิจัยกำหนดประชากรในการวิจัยครั้งนี้ คือ สถานบริการสปาขนาดกลางและขนาดเล็ก ผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการ สัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม รวมไปถึงทบทวนวรรณกรรมจากชาวตะวันตก เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาสังเคราะห์สร้างเครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถามและทำการตรวจแบบสอบถามโดยผู้เชี่ยวชาญ
  • รายการ
    การพัฒนารูปแบบการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาที่มีประสิทธิผลสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
    (Sripatum University, 2554-05-21) สุภัทร พันธ์พัฒนกุล
    การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาที่มีประสิทธิผลและเพื่อประเมินรูปแบบการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาที่มีประสิทธิผล สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน รูปแบบการวิจัยเป็นแบบผสมระหว่างข้อมูลเชิงปริมาณและข้อมูลเชิงคุณภาพ (Mix Mcthod) มีขั้นตอนการดำเนินการ 4 ขั้นตอน ประกอบด้วย การศึกษาข้อมูลการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาที่มีประสิทธิผล การยกร่างรูปแบบการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาที่มีประสิทธิผล การตรวจสอบรูปแบบการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาที่มีประสิทธิผล และการประเมินรูปแบบการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาที่มีประสิทธิผล
  • รายการ
    สิทธิและบทบาทชุมชนในการบริหารจัดการงานท้องถิ่นในเขตจังหวัดราชบุรี
    (SRIPATUM UNIVERSITY, 2557) ปราโมช ยังภู่
    การวิจัยเรื่องสิทธิและบทบาทชุมชนในการบริหารจัดการงานท้องถิ่นในเขตจังหวัดราชบุรีนี้ เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วย การวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยเชิงปริมาณ โดยมี วัตถุประสงค์ของการวิจัย คือ 1) เพื่อศึกษาสิทธิและบทบาทของชุมชนในกระบวนการบริหารจัดการงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในระดับเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล 2) เปรียบเทียบสิทธิและบทบาทของชุมชนในการการบริหารจัดการงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในระดับเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบลในเขตจังหวัดราชบุรี จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) เสนอรูปแบบการส่งเสริมสิทธิและบทบาทของชุมชนในการบริหารจัดการงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในระดับเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล
  • รายการ
    การนำนโยบายการสนับสนุนธุรกิจอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยไปปฏิบัติ
    (มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2564) ลดา เมฆราตรี
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสังเคราะห์นโยบายของภาครัฐที่มีต่อการสนับสนุนธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับไทย ศึกษาการนำนโยบายการสนับสนุนธุรกิจอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยไปปฎิบัติ ศึกษาแนวทางทางการบริหารนโยบายการสนับสนุนธุรกิจอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยและ และประเมินความเป็นไปได้ และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเกี่ยวกับการนำนโยบายการสนับสนุนธุรกิจอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยไปปฎิบัติ ประชากรในการศึกษา คือ องค์กรธุรกิจอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย ใช้รูปแบบการวิจัยแบบผสม สังเคราะห์นโยบายของภาครัฐโดยการศึกษาจากเอกสารขององค์กรเอกชนหรือหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง ศึกษาการนำนโยบายไปปฎิบัติ แนวทางทางการบริหารนโยบาย ประเมินความเป็นไปได้ และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มสมาคมอัญมณีและผู้ส่งออกอัญมณี กลุ่มกำหนดและผู้ปฎิบัตินโยบาย (กระทรวงพาณิชย์) กลุ่มผู้บริหารอุตสาหกรรมการส่งออกอัญมณี กลุ่มผู้บริหารบริษัทการส่งออกอัญมณีและกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิด้านอุตสาหกรรมการส่งออกอัญมณี โดยการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงจำนวน 25 คน ใช้แบบสัมภาษณ์จำนวน 3 ฉบับเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลศึกษาการรับรู้ และการนำนโยบายของภาครัฐ ที่มีต่อการสนับสนุนธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับไทยของบริษัท ด้วยการสุ่มตัวอย่างองค์กรธุรกิจอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยเป็นหน่วยตัวอย่างในการศึกษาจำนวน 250 บริษัท ซึ่งกำหนดขนาดตัวอย่างตามวิธีคำนวณขนาดตัวอย่างของ ทอมสัน (Thompson, S.K. 2002) ที่ระดับความเชื่อมั่น 90% ค่าความคลาดเคลื่อน (e) เท่ากับ 0.05 สัมประสิทธิ์ความผันแปรของประชากร (CV) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถามแบบประเมินค่า 5 ระดับ จำนวน 1 ฉบับ ที่มีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 1.00 ทุกข้อ และมีค่าความเชื่อมั่นเชิงโครงสร้างทั้งฉบับด้วยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา เท่ากับ 0.989 สถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ คือ การสังเคราะห์นโยบาย และวิเคราะห์เนื้อหา ส่วนสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณประกอบด้วยจำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว ผลการศึกษาสรุปได้ดังต่อไปนี้ ผลการวิจัยพบว่า นโยบายของภาครัฐที่มีต่อการสนับสนุนธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับไทยสามารถจำแนกออกเป็น 6 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (2) ด้านการพัฒนาการตลาด (3) ด้านการพัฒนาการผลิต (4) ด้านการเงิน (5) ด้านการปรับกฎระเบียบ และ(6) ด้านการวิจัยและพัฒนาองค์กรธุรกิจอุตสาหกรรมมีการนำนโยบายการสนับสนุนธุรกิจอุตสาหกรรม อัญมณีและเครื่องประดับไทยไปปฏิบัติโดยพิจารณาประเมินจาก 1) สมรรถนะขององค์กร 2) ภาวะผู้นำและความร่วมมือ 3) การเมืองและการบริหารสภาพแวดล้อมภายนอก และ 4) การวางแผนการควบคุม พบว่าองค์กร สมรรถนะขององค์กร ภาวะผู้นำและความร่วมมือการเมืองและการบริหารสภาพแวดล้อมภายนอก และการวางแผนการควบคุมอยู่ในระดับปานกลางองค์กรมีการบริหารนโยบายภาครัฐในการสนับสนุนธุรกิจอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยในกรอบแนวคิดพื้นฐานของ TQM (Total Quality Management) ทั้ง 6 ด้านได้แก่ การฝึกอบรมทางด้านคุณภาพการบริหารงานประจำวัน (Daily Management) การนำหลักการ การบริหารข้ามสายงาน (Cross Functional Management) การบริหารนโยบาย (Policy Management) องค์กรมีกิจกรรมกลุ่มย่อย (Small Group Activity) และการตรวจวินิจฉัย (Diagnosis) อยู่ในระดับปานกลาง ผลการประเมินความเป็นไปได้และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเกี่ยวกับการนำนโยบายการสนับสนุนธุรกิจอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยไปปฎิบัติด้วยการนำหลักของ PDCA มาใช้ประเมินกับการนำนโยบายภาครัฐในการสนับสนุนธุรกิจอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย ทั้ง 6 ด้านได้แก่ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาการตลาด การพัฒนาการผลิต ด้านการเงิน ด้านการปรับกฎระเบียบ และด้านการวิจัยและพัฒนาทุก ๆ ด้านมีระดับนโยบายอยู่ในระดับมากแต่ส่วนใหญ่มีการดำเนินการมากเฉพาะในบริษัทขนาดใหญ่ ผลการวิจัยพบว่าระดับการรับรู้ของผู้ประกอบการต่อภาพรวมนโยบายภาครัฐในการสนับสนุนธุรกิจอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยทุกด้านมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง ทั้ง 6 ด้านได้แก่ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาการตลาด การพัฒนาการผลิต ด้านการเงิน ด้านการปรับกฎระเบียบ และด้านการวิจัยและพัฒนา มีค่าเฉลี่ยระดับนโยบายอยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดคือ การพัฒนาการตลาด รองลงมาเป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ มีส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยที่ต่ำที่สุดคือ ด้านการเงิน และผลการศึกษาระดับการนำนโยบายการสนับสนุนธุรกิจอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยไปปฏิบัติในองค์กรพบว่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลางโดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดคือ ภาวะผู้นำและความร่วมมือ อยู่ในระดับมาก รองลงมาเป็น ด้านการวางแผนการควบคุม อยู่ในระดับมากเช่นกัน ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุดคือด้านสมรรถนะขององค์กร อยู่ในระดับปานกลาง ผลการวิจัยเปรียบเทียบระดับการรับรู้นโยบายภาครัฐในการสนับสนุนธุรกิจอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยตามลักษณะข้อมูลของบริษัท พบว่า แตกต่างกันทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ระหว่าง ประเภทของบริษัท อายุของบริษัท ทุนจดทะเบียน รายได้เฉลี่ยต่อเดือน จำนวนบุคลากร และคุณวุฒิส่วนใหญ่ของบุคลากรและผลการศึกษาเปรียบเทียบ ระดับการ นำนโยบายการสนับสนุนธุรกิจอุตสาหกรรมอัญมณีและ เครื่องประดับไทยไปปฏิบัติตามลักษณะข้อมูลของบริษัท พบว่า แตกต่างกันทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ระหว่าง ประเภทของบริษัท อายุของบริษัท ทุนจดทะเบียน รายได้เฉลี่ยต่อเดือน จำนวนบุคลากร และคุณวุฒิส่วนใหญ่ของบุคลากร
  • รายการ
    แบบจำลองเชิงสาเหตุในการสร้างความภักดีในแบรนด์ของธุรกิจฟิตเนสในเขตกรุงเทพมหานคร
    (มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2564) สุมาลี นาเมือง
    การวิจัยเรื่องแบบจำลองเชิงสาเหตุในการสร้างความภักดีในแบรนด์ของธุรกิจฟิตเนสในเขตกรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยเหตุที่มีผลต่อการสร้างความภักดีในแบรนด์ของธุรกิจฟิตเนสในเขตกรุงเทพมหานคร (2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของการสร้างความภักดีในแบรนด์ของธุรกิจฟิตเนสในเขตกรุงเทพมหานคร (3) เพื่อพัฒนาตัวแบบจำลองเชิงสาเหตุในการสร้างความภักดีในแบรนด์ของธุรกิจฟิตเนสในเขตกรุงเทพมหานคร งานวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods) และมีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้ใช้บริการฟิตเนสในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 ราย และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (Structural Equation Modeling: SEM) ผลการวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุ 30 - 39 ปี เป็นพนักงานบริษัทเอกชนรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001- 40,000 บาท มีการศึกษาระดับปริญญาโท มาใช้บริการฟิตเนสในวันธรรมดา (จันทร์ – ศุกร์) ในเวลา 18.01 น.ขึ้นไป เป็นสมาชิก ราย 6 เดือน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยโดยรวมครั้งละ 301 – 500 บาท มีประสบการณ์ 3 – 4 ปี ผลการทดสอบสมมุติฐาน พบว่า ปัจจัยด้านประสบการณ์ตรง ด้านคุณภาพในการบริการ ด้านความผูกพันในการออกกำลังกายมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อด้านการตระหนักรู้ในแบรนด์ ด้านความเชื่อมโยงในแบรนด์ และด้านความภักดีในแบรนด์ของธุรกิจฟิตเนส นอกจากนี้พบว่า ปัจจัยด้านการตระหนักรู้ในแบรนด์และด้านความเชื่อมโยงในแบรนด์มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อด้านความภักดีในแบรนด์ของธุรกิจฟิตเนส ซึ่งเป็นค่าอิทธิพลที่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 The objective of this study were on 1) to study the influence of factors influencing brand loyalty in the fitness business in Bangkok 2) to study the influence of brand loyalty on fitness brands in Bangkok 3) to develop a causal model for brand loyalty in the fitness business in Bangkok. This research was used mixed methods analysis both in qualitative and quantitative methods.The questionnaire was used to collecting the data from persons using fitness services in Bangkok with 400 samples. The data were analyzed by using structural equation model (SEM). The research found that most of the men are from 30 to 39 years old. Is a private company employee. Average monthly income 30,001- 40,000 Baht Master's degree and use the fitness service on weekdays (Monday - Friday) time at 06.01 PM. go to up and above for 6 months membership. The average cost is from 301 - 500 Baht, with experience 3 to 4 years. The hypothesis test found that Direct Experiences, Service Quality, Exercise Commitment, have significant direct effect to Brand Awareness, Brand Association and Brand Loyalty and have indirect effect by Brand Awareness and Brand Association have significant direct effect to Brand Loyalty which is a statistically significant influence on the level of .01.
  • รายการ
    ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพการบริการงานแสดงสินค้า เพื่อผลการบริการการจัดงานแสดงสินค้าในประเทศไทย
    (มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2564) พรรโษทก วงษ์สุวรรณ
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ (1) เพื่อศึกษาปัจจัยทางด้านความรู้เกี่ยวกับการจัดการงานแสดงสินค้า การบริการงานแสดงสินค้า การบริหารจัดการพื้นที่ และปัจจัยภายนอกที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพการบริการงานแสดงสินค้า และส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารจัดการงานแสดงสินค้า (2) เพื่อศึกษาอิทธิพลด้านความรู้เกี่ยวกับการจัดการงานแสดงสินค้า การบริการงานแสดงสินค้า การบริหารจัดการพื้นที่ และปัจจัยภายนอกที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพการบริการงานแสดงสินค้า และส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารจัดการงานแสดงสินค้า และ (3) เพื่อนำผลการศึกษาที่ได้มาสร้างเป็นโมเดลการพัฒนารูปแบบคุณภาพการบริการงานแสดงสินค้าที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารจัดการดำเนินงานแสดงสินค้าโดยเป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ซึ่งผู้วิจัยได้ทำการทบทวนแนวคิดและทฤษฎี เพื่อกำหนดกรอบแนวคิดและสร้างเครื่องมือแบบสอบถามสำหรับการวิจัย เพื่อทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นกลุ่ม ผู้แสดงสินค้าและผู้จัดงานแสดงสินค้าในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 450 ราย ตัวแปรที่ศึกษามี จำนวน 5 ตัวแปร ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับการจัดงานแสดงสินค้า/ การบริการงานแสดงสินค้า/ การบริหารจัดการพื้นที่แสดงสินค้า/ คุณภาพการบริการงานแสดงสินค้า/ ผลการดำเนินการแสดงสินค้า ผลการโดยมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเครื่องมือทางเทคนิคสถิติ (Structural Modeling: SEM) โดยโปรแกรม LISREL และนำผลที่ได้จากการวิเคราะห์เชิงปริมาณมาสรุปเป็นแบบจำลองทางสถิติ และดำเนินการวิจัยด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) เพื่อยืนยันผลการวิจัย ผลการวิจัย พบว่า ความรู้เกี่ยวกับการจัดการงานแสดงสินค้า มีอิทธิพลต่อคุณภาพการบริการงานแสดงสินค้า และส่งผลทางตรงต่อผลการบริการงานแสดงสินค้า โดยการบริการงานแสดงสินค้ามีอิทธิทางตรงต่อคุณภาพการบริการงานแสดงสินค้า ซึ่งการบริหารจัดการพื้นที่แสดงสินค้า มีอิทธิพลต่อคุณภาพการบริการงานแสดงสินค้า และมีอิทธิพลทางตรงต่อผลการบริการงานแสดงสินค้า และคุณภาพการบริการงานแสดงสินค้ามีอิทธิพลทางตรงต่อผลการบริการงานแสดงสินค้า ซึ่งเป็นค่าอิทธิพลที่มีนัยสำคัญทางบวก The objectives of this research were to (1) study factors on Knowledge of Trade Show Management, Tradeshow Services, Space Management and external factors influencing service quality of a trade show, which have an impact on effectiveness of trade show management. (2) to study influences on Knowledge of Trade Show Management, Trade show Services, Space Management and external factors influencing service quality of a trade show, which have an impact on effectiveness of trade show management and (3) to build up models of trade show’s service quality development, which have an impact on effectiveness of trade show management. The research was a mix methods research. Concepts and theories were reviewed to define conceptual framework and create questionnaires as a research instrument for data collection. Data was collected from 450 persons of sampling group including Exhibitors and Trade Show Organizers in Bangkok Metropolitan Area. Five variables, including Knowledge of Trade Show Management, Trade show Services, Space Management, Service Quality of Trade Show and Trade Show Services Performance were studied. Research instruments were questionnaire and data analysis by LISREL program as statistical technique of Structural Modeling: SEM. Findings from quantitative research were summarized as statistical model and in-depth interview to affirm the findings. According to the findings, Knowledge of Trade Show Management affected the Service Quality of Trade Show and gave direct impact on Trade Show Service Performance. Trade Show Services had a direct influence on Service Quality of Trade Show. Space Management affected Service Quality of Trade Show and gave direct impact on Trade Show Service Performance. Service Quality of Trade Show gave direct impact on Trade Show Service Performance, which was an influence with positive meaning.
  • รายการ
    แบบจำลองเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อการส่งเสริมด้านการใช้พลังงานแสงอาทิตย์อย่างยั่งยืนของกองทัพบก
    (วิทยาลัยบัณฑิตศึกษาด้านการจัดการ มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2564) ณัฏฐิพงษ์ เผือกสกนธ์; วิชิต อู่อ้น
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลทั่วไป ปัจจัยด้านนโยบายรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับพลังงานไฟฟ้าสีเขียว ด้านต้นทุนการผลิต และ ด้านเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อการส่งเสริมด้านการใช้พลังงานแสงอาทิตย์อย่างยั่งยืนของกองทัพบก 2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อการส่งเสริมด้านการใช้พลังงานแสงอาทิตย์อย่างยั่งยืนของกองทัพบก และ 3) เพื่อสังเคราะห์รูปแบบที่เหมาะสมในการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้อย่างยั่งยืนของกองทัพบก การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสม (Mixed method Research) มุ่งที่จะศึกษารูปแบบที่เหมาะสมในการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้อย่างยั่งยืนของกองทัพบก โดยใช้วิธีการรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกในการวิจัยเชิงคุณภาพเป็นตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการใช้ไฟฟ้าและการบริหารจัดการเกี่ยวกับพลังงานทดแทน และตัวแทนจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่กองทัพบก ผลการวิจัยพบว่า โมเดลสมการโครงสร้างแบบจำลองเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อการส่งเสริมด้านการใช้พลังงานแสงอาทิตย์อย่างยั่งยืนของกองทัพบก อยู่ในเกณฑ์ดี โดยพิจารณาจากผลการตรวจสอบค่า Chi-square (X2) มีค่าเท่ากับ 591.49 ค่า df เท่ากับ 295 ค่า P-value เท่ากับ 0.060 GFI เท่ากับ 0.98 AGFI เท่ากับ 0.94 CFI เท่ากับ 0.92 RMSEA เท่ากับ 0.042 พลังงานไฟฟ้าสีเขียวเพื่อการส่งเสริมด้านการใช้พลังงานแสงอาทิตย์อย่างยั่งยืนของกองทัพบกที่เหมาะสมต่อพื้นที่ คือ รูปแบบของโซล่าร์รูฟท้อป ที่ติดตั้งบนหลังคา อาคาร และรูปแบบ Solar Farm โซลาร์ฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งผลการวิเคราะห์ข้อมูลจะเป็นแนวทางในการพัฒนาที่ยั่งยืนของกองทัพบกเพื่อนำไปดำเนินการและพัฒนาให้เป็นประโยชน์ต่อไป
  • รายการ
    การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ด้านการลงทุนของนักลงทุน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
    (2564) จุไรวรรณ รินทพล; วิชิต อู่อ้น
    การศึกษาเรื่อง การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ด้านการลงทุนของนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยด้านกระบวนการตัดสินใจที่ส่งผลต่อผลดำเนินการตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์ของนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 2) ศึกษาอิทธิพลของปัจจัยที่มีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์ของนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ ไทย และ 3) สร้างแบบจำลองการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ด้านการซื้อขายหลักทรัพย์ของนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงผสมโดยวิธีวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 5 คน โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-Depth Interview) และการวิจัยเชิงปริมาณใช้การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น (Stratified Sampling) และใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างหลายขั้นตอน (Multi-Stage-Sampling) จำนวน 510 คน ผลการศึกษาพบว่า 1) ศึกษาปัจจัยด้านกระบวนการตัดสินใจที่ส่งผลต่อผลดำเนินการตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์ของนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในภาพรวม อยู่ในระดับมาก 2) ปัจจัยด้านพฤติกรรม ความรู้ เทคโนโลยีมีผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์ของนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ 3) แบบจำลองการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ด้านการซื้อขายหลักทรัพย์ของนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยพบว่าโมเดลแบบจำลองสมการเชิงโครงสร้างมีความเหมาะสมกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ข้อเสนอแนะควรมีการศึกษาตัวแปรปัจจัยพฤติกรรมการลงทุน ความรู้เทคโนโลยี และรูปแบบการลงทุนกับกลุ่มนักลงทุนรายอื่น รวมทั้งศึกษาตัวแปรที่เป็นปัจจัยเหตุอื่นๆ ที่อาจจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ด้านการลงทุนของนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อให้งานวิจัยดูน่าสนใจ เกิดความท้าทาย ช่วยให้นักลงทุนมีศักยภาพและมีความสามารถในการขยายการลงทุนให้เกิดขึ้นได้ This research titled “Strategic decision making in investment of investors in stock exchange of Thailand” was aimed to: 1) study decision making process factors affect investors’ decision making in stock trading in stock exchange of Thailand, 2) study the influence of factors affect decision making process in stock trading in stock exchange of Thailand, and 3) create strategic decision model in stock trading in stock exchange of Thailand. The research methodology used in this study were conducted in mixed methods qualitative and quantitative, 5 purposive sampling have been used for qualitative research by in-depth interviewing, and for quantitative research, 510 stratified sampling have been used as multi-stage sampling. The finding suggested: 1) decision making process factors affect investors’ decision making in stock trading in stock exchange of Thailand, overviewing in high level, 2) the influence of factors affect decision making process in stock trading in stock exchange of Thailand, and 3) strategic decision model in stock trading in stock exchange of Thailand, the harmonious alliance between the model of structural equation and empirical data were appropriate. The suggestions: Further study in variable of investment behavioral factors, technological knowledge, investment model with other investors also study in other causal factors which may have influence the strategic decision making in investment of investors in stock exchange of Thailand in order to be attractive and challenged in enable the investors potential in investment expanding.
  • รายการ
    ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จในการนำนโยบายแก้ไขปัญหายาเสพติดไปปฏิบัติของกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด
    (Sripatum University, 2563) สัณฑภวิษย์ มากช่วย
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จในการนำนโยบายแก้ไขปัญหายาเสพติดไปปฎิบัติ ของกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เพื่อศึกษาความคิดเห็นและเปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จในการนำนโยบายแก้ไขปัญหายาเสพติดไปปฎิบัติของข้าราชการตำรวจสังกัดกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และเพื่อวิเคราะห์อิทธิพลของปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จในการนำนโยบายแก้ไขปัญหายาเสพติดไปปฎิบัติ
  • รายการ
    รูปแบบการจัดการเชิงกลยุทธ์ ของเครือข่ายชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ศึกษาเฉพาะกรณี อำเภอรามัน จังหวัดยะลา
    (มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2563) สุทธิกันต์ อุตสาห์
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบในการจัดการเชิงกลยุทธ์ของเครือ ข่ายชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ศึกษาเฉพาะกรณี อำเภอรามัน จังหวัดยะลา 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเชิงกลยุทธ์ของเครือข่าย ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ศึกษาเฉพาะกรณี อำเภอรามัน จังหวัดยะลา 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบการจัดการเชิงกลยุทธ์ของเครือข่ายชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ศึกษาเฉพาะกรณีอำเภอรามัน จังหวัดยะลา กำหนดระเบียบวิธีวิจัยแบบการ วิจัยเชิงคุณภาพโดยการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ การสนทนากลุ่มย่อย การสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตแบบมีส่วนร่วมและสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม ประชากรคือ ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) อำเภอรามัน จังหวัดยะลา กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษามี 16 ตำบล 83 หมู่บ้าน จำนวน 163 คน และผู้ช่วยนักวิจัย จำนวน 16 คน เพื่อศึกษาองค์ประกอบในการจัดการเชิงกลยุทธ์ของเครือข่ายชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ที่ประสบความสำเร็จในการจัดการเชิงกลยุทธ์ มีวิธีการดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนดังนี้ คือ 1) การสังเคราะห์เอกสารต่างๆ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2) การสังเคราะห์ ประเด็นสถานการณ์สภาพปัญหาและอุปสรรค 3) การศึกษาสถานการณ์จริงในพื้นที่ 4) การกำหนดแนวทาง การปฏิบัติงาน
  • รายการ
    รูปแบบการจัดการธุรกิจมวยไทยอาชีพในประเทศไทย
    (วิทยาลัยบัณฑิตศึกษาด้านการจัดการ มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2563) พัชรมน รักษพลเดช; ดร.อนุพงษ์ แต้ศิลปสาธิต
    มวยไทย เป็นกีฬาอาชีพของประเทศไทยที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติไทย จากความสำคัญของมวยไทยที่มีต่อการรักษาแผ่นดินไทยไว้ ปัจจุบันมวยไทยได้รับความนิยมแพร่หลายทั่วโลกและในประเทศไทยมีการจัดการแข่งขันมวยไทยอาชีพเป็นประจำทุกสัปดาห์ มวยไทยเป็นธุรกิจกีฬาที่มีการจัดการแข่งขันมวยไทยเป็นสินค้าหลัก ดังนั้นการจัดการธุรกิจมวยไทยอาชีพจึงมีความสำคัญ เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจกลุ่มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงกีฬาของประเทศไทย งานวิจัยเรื่องนี้ เป็นงานวิจัยแบบผสมผสาน ผู้วิจัยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) เพื่อศึกษาภาพรวมการจัดการธุรกิจมวยไทยอาชีพในประเทศไทย 2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยด้านการจัดการธุรกิจมวยไทยอาชีพที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการจัดการธุรกิจมวยไทยอาชีพในประเทศไทย และ 3) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการธุรกิจมวยไทยอาชีพในประเทศไทย เครื่องมือในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์และแบบสอบถาม โดยการเลือกกลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลสำคัญในการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ดำเนินธุรกิจมวยไทยอาชีพ จำนวน 16 คน แบ่งเป็น กลุ่มนายสนามมวย 5 คน กลุ่มผู้จัดรายการแข่งขัน 6 คน และกลุ่มหัวหน้าค่าย 5 คน กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลแบบสอบถาม เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงจากพื้นที่การวิจัย ที่เป็นสนามมวยมาตรฐานในประเทศไทย ได้แก่ ผู้จัดรายการแข่งขัน หัวหน้าค่ายมวย ผู้จัดการนักมวย ผู้ให้การสนับสนุน ผู้ช่วยผู้จัดรายการแข่งขัน ผู้ผลิตอุปกรณ์ จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 255 คน และกลุ่มผู้ชมที่เป็นกลุ่มตัวอย่างในการตอบแบบสอบถามด้านความพึงพอใจในการเข้าชม การแข่งขัน ณ สนามมวยมาตรฐาน จำนวน 400 คน จากนั้นนำข้อมูลที่มาวิเคราะห์ ตีความ สรุปผล และดำเนินการจัดประชุมสนทนากลุ่ม โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิร่วมพิจารณาและยืนยันผลการวิจัยพร้อมสรุปรูปแบบการจัดการธุรกิจมวยไทยอาชีพในประเทศไทย ผลการวิจัยทำให้ทราบถึง ภาพรวมการจัดการธุรกิจมวยไทยอาชีพในประเทศไทย และผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติสมการพยากรณ์ถดถอยพหุคูณ ทำให้ทราบถึงตัวแปร ด้านการจัดการธุรกิจมวยไทยอาชีพในประเทศไทย ที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการจัดการธุรกิจ มวยไทยอาชีพในประเทศไทย ความพึงพอใจของผู้ชมในการเข้าชมการแข่งขันมวยไทย และรูปแบบการจัดการธุรกิจมวยไทยอาชีพในประเทศไทย ควรมีการจัดการทั้งหมด 8 ด้าน โดยตัวแปรที่มีความสำคัญต่อการจัดการธุรกิจมวยไทยอาชีพในประเทศไทยให้ประสบความสำเร็จประกอบด้วย 1) การจัดการด้านผู้ชม โดยการขยายกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยว 2) การพัฒนารูปแบบใหม่ๆ ในการจัดการแข่งขัน 3) การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติกีฬามวยอาชีพ พ.ศ. 2542 4) การรักษาฐานลูกค้าประจำซึ่งเป็นผู้ชมชาวไทยที่เข้าชมการแข่งขันเป็นประจำ 5) การจัดการธุรกิจสนามมวย 6) การจัดการสิ่งแวดล้อมกายภาพสนามมวย 7) การจัดการของโปรโมเตอร์ 8) การจัดการของหัวหน้าค่าย
  • รายการ
    การพัฒนาแบบการเสริมสร้างพลังอำนาจครูผู้สอนในศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ในเขตกรุงเทพมหานคร
    (มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2563) พรนิภา บัวพิมพ์
    การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสภาพการเสริมสร้างพลังอำนาจครูผู้สอนในศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ กรุงเทพมหานคร 2) เพื่อสร้างแบบการเสริมสร้างพลังอำนาจครูผู้สอนเรื่องมารยาทไทยในศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ และ 3) เพื่อประเมินผลการเสริมสร้างพลังอำนาจครูผู้สอนจากการใช้แบบการเสริมสร้างพลังอำนาจครูผู้สอนที่สร้างขึ้น ผู้วิจัยเจาะจงเลือกผู้ให้ข้อมูลสำคัญในการวิจัยเชิงคุณภาพและสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหารศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ กรุงเทพมหานคร จำนวน 4 รูป โดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างสำหรับการวิจัยเชิงปริมาณ ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลจากครู่ผู้สอนในศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ กรุงเทพมหานคร จำนวน 65 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม ผู้วิจัยร่างแบบการเสริมสร้างพลังอำนาจ
  • รายการ
    ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อคุณค่าที่รับรู้ ศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยว และความภักดีต่อแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ (มรดกโลก) ในประเทศไทย
    (มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2562) ชีวรรณ เจริญสุข
    จากการศึกษาวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1). เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อคุณค่าที่รับรู้ ภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยว และความภักดีต่อแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ (มรดกโลก) อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา-สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชรในประเทศไทย (2). เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อคุณค่าที่รับรู้ ภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยว และความภักดีต่อแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์(มรดกโลก) อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา-สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชรในประเทศไทย (3).เพื่อสร้างแบบจำลองของปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อคุณค่าที่รับรู้ ภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยว และความภักดีต่อแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์(มรดกโลก) อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา-สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชรในประเทศไทย ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณการวิจัยเชิงสำรวจแบบผสมผสาน ระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ วิธีการวิเคราะห์สมการโครงสร้างโดยการใช้โปรแกรม AMOS สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่การแจกแจงความถี่การหาค่าร้อยละ การหาค่าเฉลี่ย การหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีสัญชาติจีนและอังกฤษที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวยังอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา-สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชรในประเทศไทย ซึ่งการศึกษาวิจัยในครั้งนี้มีกลุ่มตัวอย่าง 1,600 ตัวอย่าง ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบของกลุ่มตัวอย่างนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีสัญชาติจีนและอังกฤษจากการศึกษาวิจัยในครั้งนี้พบว่ากลุ่มตัวอย่างทั้งสองสัญชาตินี้มีค่าไม่แตกต่างกันมากนัก แต่มีประเด็นที่น่าสนใจคือคุณค่าที่รับรู้และภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยว เชิงประวัติศาสตร์(มรดกโลก) กลุ่มตัวอย่างนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีสัญชาติอังกฤษมีอิทธิพลส่งผลต่อความภักดีต่อแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ (มรดกโลก) มากกว่านักท่องเที่ยวจีน ดังนั้นถ้ากลุ่มตัวอย่างนักท่องเที่ยวที่มีสัญชาติอังกฤษได้รับรู้คุณค่าและภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยวที่เหมาะสมจะทำให้นักท่องเที่ยวสัญชาติอังกฤษมีความภักดีต่อแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ (มรดกโลก) มากกว่านักท่องเที่ยวชาวจีน
  • รายการ
    ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการจัดการทรัพยากรมนุษย์ เชิงกลยุทธ์ ของธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย
    (หลักสูตรการจัดการดุษฎีบัณฑิต วิทยาลัยบัณฑิตศึกษาด้านการจัดการ มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2562) สุมนา จันทราช
    การวิจัยเรื่องปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการจัดการทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ของธุรกิจ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยเหตุที่ส่งผลต่อ การจัดการทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์และผลการดำเนินงานของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในประเทศไทย (2) เพื่อตรวจสอบความกลมกลืนของโมเดลสมการโครงสร้างการจดัการทรัพยากร มนุษย์เชิงกลยุทธ์และผลการดำเนินงานของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทยที่ พัฒนาขึ้นกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (3) เพื่อศึกษาขนาดอิทธิพลทางตรง อิทธิพลทางอ้อม และอิทธิพล รวมของปัจจัยเหตุที่ส่งผลต่อการจัดการทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์และผลการดำเนินงานของ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย และ(4) เพื่อพัฒนาตัวแบบการจัดการทรัพยากร มนุษย์เชิงกลยุทธ์และผลการดำเนินงานของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย งานวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods) และมีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วย แบบสอบถาม ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้ประกอบการวิสาหกิจ จำนวน 520 ราย และวิเคราะห์ ขอ้มูลโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (Structural Equation Modeling: SEM) ผลการวิจัยพบว่า การมุ่งเน้นการตลาด สมรรถนะด้านการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ความ สำคัญของการจัดการทรัพยากรมนุษย์คุณลักษณะของผู้บริหาร มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อการ จัดการทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ อีกทั้งพบว่าการจัดการทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ มีอิทธิพล ทางตรงเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจ ซึ่งเป็นค่าอิทธิพลที่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
  • รายการ
    การศึกษาตัวแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุระหว่าง พละ 5 และพฤติกรรมด้าน คุณธรรมในมิติของสังคหวัตถุ 4 ของผู้ปฏิบัติกรรมฐานในพุทธศาสนาเถรวาท และความสามารถเชิงปัญญาของผู้นำเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไทย
    (หลักสูตรการจัดการดุษฎีบัณฑิต วิทยาลัยบัณฑิตศึกษาด้านการจัดการ มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2561) ชัยนรินท์ ธีรไชยพัฒน์
    การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความเป็นองค์ประกอบตัวแปรสังเกตของตัวแปรแฝงในตัวแบบโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุในปัจจัยพละ 5 ในผู้ปฏิบัติกรรมฐานในพุทธศาสนาเถรวาท พฤติกรรมด้านคุณธรรมในมิติของสังคหวัตถุ 4 และความสามารถเชิงปัญญาของผู้นำเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจธนาคารพานิชย์ไทย 2) ศึกษาระดับพละ 5 ระดับพฤติกรรมด้านคุณธรรมในมิติของสังคหวัตถุ 4 และระดับความสามารถเชิงปัญญาของผู้นำเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจธนาคารพานิชย์ไทย ในผู้ปฏิบัติกรรมฐานในพุทธศาสนาเถรวาทของกลุ่มผู้บริหารในธุรกิจธนาคารพานิชย์ไทยและ 3) ทดสอบตัวแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุระหว่างปัจจัยพละ 5 ในผู้ปฏิบัติกรรมฐานในพุทธศาสนาเถรวาทพฤติกรรมด้านคุณธรรมในมิติของสังคหวัตถุ 4 และความสามารถเชิงปัญญาของผู้นำเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจธนาคารพานิชย์ไทยกับข้อมูลเชิงประจักษ์ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ในธนาคารพานิชย์ไทย 4 แห่ง จำนวน 400 คน โดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลด้วย ค่าแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์การทดสอบความสัมพันธ์เชิงโครงสร้าง
  • รายการ
    ผลสัมฤทธิ์ในการบริหารงานตามยุทธศาสตร์ความมั่นคงของมนุษย์ของบ้านพักเด็กและครอบครัว กรมกิจการเด็ก และเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
    (หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะวิทยาลัยบัณฑิตศึกษาด้านการจัดการ มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2560) ประพล มิลินทจินดา
    การวิจัยเรื่อง “ผลสัมฤทธิ์ในการบริหารงานตามยุทธศาสตร์ความมั่นคงของมนุษย์ของบ้านพักเด็กและครอบครัว กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับผลสัมฤทธิ์ในการบริหารงานตามยุทธศาสตร์ความมั่นคงของมนุษย์ของบ้านพักเด็กและครอบครัว กรมกิจการเด็กและเยาวชน ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2) ศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยกับผลสัมฤทธิ์ในการบริหารงานตามยุทธศาสตร์ความมั่นคงของมนุษย์ของบ้านพักเด็กและครอบครัว กรมกิจการเด็กและเยาวชน ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3) ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ในการบริหารงานตามยุทธศาสตร์ความมั่นคงของมนุษย์ของบ้านพักเด็กและครอบครัว กรมกิจการเด็กและเยาวชน ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน การวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร ได้แก่ บุคลากรบ้านพักเด็กและครอบครัว กรมกิจการเด็กและเยาวชน ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 279 คน
  • รายการ
    การมีส่วนร่วมของประชาชนผ่านทางสื่อสังคมเฟซบุ๊กของหน่วยงานภาครัฐไทย
    (หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะวิทยาลัยบัณฑิตศึกษาด้านการจัดการ มหาวิทยาลัยศรีปทุม., 2560) อุดม ไพรเกษตร
    การวิจัยเรื่อง “การมีส่วนร่วมของประชาชนผ่านทางสื่อสังคม เฟซบุ๊ก ของหน่วยงานภาครัฐไทย” ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาลักษณะการใช้ เฟซบุ๊ก ของหน่วยงานภาครัฐเพื่อการมีส่วนร่วมของประชาชน 2) ศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับการใช้ เฟซบุ๊ก ของหน่วยงานภาครัฐเพื่อการมีส่วนร่วมของประชาชน 3) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการใช้ เฟซบุ๊ก ของหน่วยงานภาครัฐเพื่อการมีส่วนร่วมของประชาชน 4) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการใช้ เฟซบุ๊ก ของหน่วยงานภาครัฐเพื่อการมีส่วนร่วมของประชาชน 5) เสนอแนวทางการใช้ เฟซบุ๊ก ของหน่วยงานภาครัฐเพื่อการมีส่วนร่วมของประชาชน การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ ในการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร คือ หน่วยงานภาครัฐระดับกรม/ เทียบเท่ากรม ภายใต้สังกัดกระทรวงทั้ง 18 กระทรวง จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 108 หน่วยงาน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณได้แก่ แบบสอบถาม สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ การสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่มตัว ประกอบด้วย ผู้บริหารหรือผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ 6 แห่ง และนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อสังคม 3 คน
  • รายการ
    ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการลาออกของแพทย์ในระบบราชการไทย
    (ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ วิทยาลัยบัณฑิตศึกษาด้านการจัดการ วิทยาลัยศรีปทุม., 2560) อิงครัต แพททริคค์ สีเขียวสุขวงกฎ
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์และอิทธิพลต่อการลาออกของแพทย์ในระบบราชการไทย ศึกษาปัจจัยเชิงโครงสร้างที่มีอิทธิพลต่อการลาออกของแพทย์ในระบบราชการไทย และหาแนวทางในการลดอัตราการลาออกของแพทย์ในระบบราชการไทย ประชากร คือ แพทย์ ในระบบราชการไทย สังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่ลาออกจากราชการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552 ถึง 31 ธันวาคม 2556 และแพทย์ผู้บริหารหน่วยงานราชการในกระทรวงสาธารณสุข ใช้ตัวอย่างแพทย์ผู้บริหารหน่วยงานราชการในกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 12 คน และใช้แพทย์ที่ลาออกจำนวน 350 คน
  • รายการ
    ประสิทธิผลการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมของกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    (ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์. คณะ วิทยาลัยบัณฑิตศึกษาด้านการจัดการ มหาวิทยาลัยศรีปทุม., 2560) เฉลิมพรหม อิทธิยาภรณ์
    การศึกษาเรื่อง ประสิทธิผลการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมของกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีวัตถุประสงค์ เพื่อ (1) ศึกษาระดับประสิทธิผลการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมของกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี (2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมของกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี (3) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นในการดำเนินงานด้านการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมของกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี และ (4) ศึกษาแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และช่วยยกระดับประสิทธิผลการดำเนินงานด้านการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมของกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรีให้สูงขึ้น การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงผสม โดยใช้การวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพร่วมกัน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณคือ เจ้าหน้าที่ตำรวจของกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี จำนวน 337 คน