ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับการเยียวยาความเสียหายที่เกิดกับสโมสรฟุตบอลอันเนื่องมาจากนักฟุตบอลไปลงทาการแข่งขันให้กับทีมชาติไทย

Abstract

กิจการสโมสรฟุตบอลอาชีพในปัจจุบันเป็นการดาเนินธุรกิจที่ต้องใช้เงินทุนในการดาเนินกิจการสูงมาก ทั้งเงินทุนที่จะใช้ในการยกระดับพัฒนาสิ่งอานวยความสะดวกต่าง ๆ ของสโมสร หรือเงินทุนที่จะใช้ไปในการยกระดับ พัฒนาศักยภาพนักฟุตบอลในสโมสรของตน ซึ่งเป็นรายจ่ายส่วนใหญ่ที่สุดของกิจการสโมสรฟุตบอล ทั้งนี้โดยจุดประสงค์เพื่อต้องการให้สโมสรฟุตบอลของตนกลายเป็นสโมสรฟุตบอลที่มีศักยภาพในการแข่งขันฟุตบอลสูงและเป็นที่นิยมแก่บรรดาผู้สนับสนุนต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อผลประกอบการของกิจการสโมสรฟุตบอล แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนักฟุตบอลของสโมสรฟุตบอลแต่ละสโมสรพัฒนาศักยภาพทางด้านกีฬาฟุตบอลให้อยู่ในระดับสูงแล้ว ก็จะเป็นที่ต้องการจากบรรดาทีมฟุตบอลทีมชาติของนักฟุตบอลคนดังกล่าว เมื่อทีมชาติทาการเรียกตัวนักฟุตบอลคนใดให้ไปทาการแข่งขันให้กับทีมชาติแล้ว ไม่ว่านักฟุตบอลซึ่งถูกเรียกตัวไปจะมีเกมส์การแข่งขัน หรือกิจธุระใด ๆ ต่อสโมสรฟุตบอลต้นสังกัด สโมสรฟุตบอลต้นสังกัดของนักฟุตบอลก็มีหน้าที่ที่จะต้องปล่อยตัวให้นักฟุตบอลคนดังกล่าวให้ไปลงทาการแข่งขันให้กับทีมชาติโดยไม่มีข้อแม้ ซึ่งในกรณีการปล่อยตัวนักฟุตบอลในสังกัดของตนไปทาการแข่งขันให้กับทีมชาตินี้เอง มีโอกาสที่จะทาให้บรรดาสโมสรฟุตบอลต้นสังกัดของนักฟุตบอลได้รับความเสียหาย กล่าวคือ หากในระหว่างที่นักฟุตบอลคนดังกล่าวลงทาการแข่งขันให้กับทีมชาติของตนแล้วได้รับอาการบาดเจ็บถึงขนาดที่ว่า ไม่สามารถที่จะกลับมาลงทาการแข่งขันให้กับสโมสรตนสังกัดได้ สโมสรฟุตบอลก็จะต้องทาการจ่ายเงินค่าเหนื่อยหรือค่าจ้างให้กับนักฟุตบอลคนดังกล่าวต่อไปตามสัญญา แม้จะอยู่ในช่วงระยะเวลาที่นักฟุตบอลพักรักษาอาการ บาดเจ็บ โดยที่สโมสรฟุตบอลดังกล่าวไม่ได้รับอะไรตอบแทนกลับมาเลย เนื่องจากว่านักฟุตบอลซึ่งได้รับอาการบาดเจ็บไม่สามารถลงทาการแข่งขันหรือฝึกซ้อมตามตารางที่สโมสรต้นสังกัดวางไว้เพื่อพัฒนาศักยภาพในเชิงฟุตบอลของตนได้ตามสัญญาที่ได้ทาไว้ระหว่างสโมสรฟุตบอลต้นสังกัดกับตัวนักฟุตบอล เมื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่สโมสรฟุตบอลเป็นความเสียหายทางด้านการเงินกล่าวคือสโมสรฟุตบอลจะต้องจ่ายเงินค่าจ้างหรือค่าเหนื่อยให้กับนักฟุตบอลโดยไม่ได้รับสิ่งตอบแทนกลับคืนมา ดังนั้น การประกันภัยซึ่งเป็นวิธีการจัดการความเสี่ยงที่เกิดขึ้นแก่บรรดาสโมสรฟุตบอลอาชีพได้ แต่การนาเอาการประกันภัยเข้ามาใช้ในวงการฟุตบอล เนื่องจากพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทยไม่ได้บัญญัติไว้ การนาเอาระบบประกันภัยเข้ามาปรับใช้กับกีฬาฟุตบอลอาชีพจึงเกิดปัญหาขึ้น ในเรื่องตัวบุคคลผู้มีส่วนได้เสีย เรื่องค่าสินไหมทดแทนที่ผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิด เรื่องการรับช่วงสิทธิเมื่อนักฟุตบอลย้ายสโมสรหลังจากทาสัญญาประกันภัย และเรื่องการจัดตั้งกองทุนเพื่อจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประกันภัยของสมาคมฟุตบอล ทาให้การนาเอาระบบประกันภัยมาใช้มีปัญหาทางกฎหมายในประเด็นดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เมื่อได้พิจารณาแนวคิด ทฤษฏีและหลักการของกฎหมายประกันภัยและกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว การที่จะนาเอาระบบประกันภัยเข้ามาปรับใช้กับกีฬาฟุตบอลอาชีพนั้น จึงมิใช่การให้สโมสรฟุตบอลต้นสังกัดที่จ่ายเงินค่าจ้างแก่นักฟุตบอลเท่านั้นที่มีสิทธิเอาประกันภัยในกรณีนี้ได้ ส่วนจานวนเงินค่าสินสินไหมทดแทนให้คิดจากเงินค่าจ้างที่สโมสรฟุตบอลจ่ายให้นักฟุตบอลเท่านั้น ทั้งยังให้สิทธิสโมสรฟุตบอลที่ทาการประกันภัยนักฟุตบอลมีสิทธิของลดเบี้ยประกันหรือยกเลิกสัญญาประกันเมื่อนักฟุตบอลซึ่งตนเคยทาประกันภัยไว้ ย้ายสโมสรหรือเลิกประกอบอาชีพนักฟุตบอลอาชีพ ตลอดจนการกาหนดให้สมาคมฟุตบอลเป็นผู้ซึ่งจะต้องรับผิดในอาการบาดเจ็บของนักฟุตบอลและท้ายที่สุด จะต้องมีการกาหนดให้สมาคมฟุตบอลจัดตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อทาการจ่ายเงินแก่ผู้รับประกันภัยอย่างรวดเร็วตามที่ผู้รับประกันภัยใช้สิทธิไล่เบี้ยของสโมสรฟุตบอล ทั้งนี้โดยจุดประสงค์หลักเพื่อการเยียวยาความเสียหายและแก้ปัญหาในการดาเนินธุรกิจสโมสรฟุตบอลที่มีอยู่ในปัจจุบัน