Please use this identifier to cite or link to this item:
http://dspace.spu.ac.th/handle/123456789/6064
Title: | ปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายในการดาเนินกระบวนพิจารณา คดีทุจริตและประพฤติโดยมิชอบในวงราชการ |
Other Titles: | LEGAL PROBLEMS AND OBSTACLES IN THE PROCEEDINGS ON THE CORRUPTION AND DISHONESTY CASES WITHIN THE GOVERNMENT CIRCLE |
Authors: | ทวีศิลป์ ปราบกรี |
Keywords: | การดาเนินกระบวนพิจารณา คดีทุจริตและประพฤติโดยมิชอบ ราชการ |
Issue Date: | 8-March-2562 |
Abstract: | ปัจจุบันปัญหาการทุจริตและประพฤติโดยมิชอบในวงราชการในประเทศไทย ยังคงเป็นปัญหาที่สาคัญของสังคมที่รอวันแก้ไขและนับวันจะยังคงทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัญหาที่ทาลายระบบการบริหารราชการของรัฐบาล รวมถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ดังนั้นจึงทาให้จานวนคดีที่เกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติโดยมิชอบในวงราชการในแต่ละปีก็ยังมีปริมาณคดีจานวนมากและมีแนวโน้มจะมากขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน จึงกลายเป็นปัญหาและอุปสรรคต่อกระบวนการพิจารณาคดีของศาล ทาให้การพิจารณาคดีมีความล่าช้าออกไป และส่งผลให้ความเกรงกลัวต่อความผิดจึงลดน้อยลงด้วย จากการศึกษาพบว่ากระบวนการสืบสวนสอบสวนของ ป.ป.ช., ป.ป.ท. และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองไม่มีกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน ทั้งศาลยุติธรรมก็มีถึงสามชั้นศาลจึงส่งผลให้คดีมีความล่าช้า ในขณะที่ประชาชนเข้าถึงต่อกระบวนการสืบสวนสอบสวนและการพิจารณาคดีได้ยากเพราะประชาชนมิได้อยู่ในฐานะผู้เสียหาย และหน่วยงานของรัฐที่เป็นเอกภาพเพียงองค์กรเดียวไม่มี ในขณะที่ ป.ป.ท. เองก็มิได้เป็นองค์กรอิสระ ทั้งยังต้องอยู่ในกากับดูแลของกระทรวงยุติธรรม ปัญหาในการนาสืบพยานต่อการผลักภาระการพิสูจน์ความผิดของจาเลยในคดีทุจริตและประพฤติโดยมิชอบในวงราชการให้แก่โจทก์เป็นผู้พิสูจน์ความผิดของจาเลย ซึ่งเป็นไปตามระบบกล่าวหานั้นทาได้ยาก และถึงแม้ว่าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองจะใช้ระบบการพิจารณาคดีแบบไต่สวนก็ตามแต่ก็เป็นการจากัดอยู่แต่เฉพาะคดีของนักการเมืองเท่านั้น ปัญหาการไม่มีมาตรการที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของจาเลยซึ่งหากพิจารณาเปรียบเทียบกับมาตรการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 แล้ว กลับมีอานาจในการยึด ทรัพย์สินได้ทันทีเมื่อมีการกล่าวโทษ โดยให้เป็นหน้าที่ของผู้ถูกกล่าวหาในการพิสูจน์ถึงทรัพย์สินดังกล่าว และการที่ไม่มีศาลชานัญพิเศษที่มีอานาจโดยตรงเกี่ยวกับการพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติโดยมิชอบในวงราชการ อาจจะทาให้เกิดลักลั่นในมาตรฐานการลงโทษ เพราะรูปแบบลักษณะการกระทาความผิดในการพิจารณาคดีดังกล่าว แตกต่างไปจากรูปแบบลักษณะการกระทาความผิดในการพิจารณาคดีอาญาทั่วไป ผู้ศึกษาขอเสนอแนะว่า ป.ป.ช., ป.ป.ท. และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองต้องกาหนดให้มีกรอบระยะเวลาที่ชัดเจนในการสืบสวนสอบสวน ต้องลดขั้นตอนพิจารณาคดีที่มีถึงสามชั้นศาลโดยต้องมีเพียงสองชั้นศาลเท่านั้น ต้องกาหนดให้ประชาชนเข้าถึงต่อกระบวนการสืบสวนสอบสวนและการพิจารณาคดีในฐานะผู้เสียหายด้วยอีกทางหนึ่ง ต้องมีหน่วยงานของรัฐที่เป็นองค์อิสระเพียงองค์กรเดียวเท่านั้นที่มีอานาจในการสืบสวนสอบสวนคดีทุจริตและประพฤติโดยมิชอบในวงราชการเพื่อความเป็นเอกภาพคือ ป.ป.ช. วิธีการค้นหาความจริงของศาลต้องใช้ระบบผสม คือนาข้อดีของระหว่างระบบกล่าวหาและระบบไต่สวนมาใช้ ต้องมีมาตรการเกี่ยวกับทรัพย์สินโดยการยึดทรัพย์ทันทีเมื่อมีการกล่าวโทษโดยให้ผู้ถูกกล่าวหามีหน้าที่พิสูจน์ทรัพย์สิน และต้องมีการจัดตั้งศาลคอร์รัปชั่นให้มีฐานะเป็นศาลชานัญพิเศษพิจารณาเฉพาะคดีทุจริตและประพฤติโดยมิชอบในวงราชการเท่านั้น |
Description: | นิติศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี |
URI: | http://dspace.spu.ac.th/handle/123456789/6064 |
Appears in Collections: | S_CHO-09. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
Abstract.pdf | 203.59 kB | Adobe PDF | View/Open |
Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.