อิทธิพลของกระบวนการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานที่มีต่อสมรรถนะ การจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน : กรณีศึกษา บริษัท เมทเทิลคอม จากัด

Abstract

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานด้านการวางแผน การจัดหาแหล่งวัตถุดิบ การผลิต และการส่งมอบ และอิทธิพลของกระบวนดังกล่าวที่มีต่อสมรรถนะ ทางด้านประสิทธิภาพ การตอบสนอง และประสิทธิผล ผู้วิจัยเก็บตัวอย่างจากบริษัท เมทเทิลคอม จำกัด กลุ่มตัวอย่าง 108 คน จากจำนวนประชากร 163 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มี ลักษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการและแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ผลการวิจัยพบว่า กระบวนการในแต่ละด้านมีระดับการดำเนินงานที่แตกต่างกันและมีผลต่อ สมรรถนะในแต่ละด้านที่แตกต่างกัน โดยในกระบวนการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานนั้น กิจกรรมหลัก ประกอบด้วย 1) การวางแผน 2) การจัดหาแหล่งวัตถุดิบ 3) การผลิตและ 4) การส่งมอบ ซึ่งแต่ละกิจกรรมมี สัดส่วนของการดำเนินงานที่แตกต่างกัน โดยที่การส่งมอบมีระดับการดำเนินงานสูงสุด รองลงมา คือ การ ผลิตและการจัดหา ตามลำดับ ส่วนการวางแผนเป็นกิจกรรมที่กระทำน้อยที่สุดเนื่องจากการวางแผนที่เป็น โครงสร้างแบบเป็นทางการมากเกินไปอาจก่อให้เกิดความล่าช้าในการตัดสินใจ และลดความยืดหยุ่นในการ ทำงาน อย่างไรก็ตามการวางแผนยังเป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำงานให้เป็นระบบและมีแนวทางไปในทิศทาง เดียวกัน ดังนั้น บริษัทควรรักษาระดับกิจกรรมด้านการวางแผนให้มีอย่างต่อเนื่องหรือสร้างเครื่องมือเพื่อให้ พนักงานสามารถนำไปใช้ในการวางแผนได้อย่างมีประสิทธิผล สำหรับอิทธิพลที่มีผลทำให้สมรรถนะของการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานด้าน ประสิทธิภาพเพิ่มมากขึน้ ได้แก่ กระบวนการผลิต แต่กระบวนการวางแผนและการจัดส่งที่มากเกินไปจะทำ ให้ประสิทธิภาพลดลง ดังนัน้ บริษัทผู้ผลิตจำเป็นต้องควบคุมกิจกรรมด้านการวางแผน SPU CHONBURI และการขนส่งให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เช่น มีการสำรองรถไว้หรือมีการจัดหาบริษัทขนส่งเพื่อให้ส่งมอบ สินค้าให้ลูกค้าได้ทันตามความต้องการที่เร่งด่วนของลูกค้าต่อไป สำหรับอิทธิพลที่มีผลทำให้สมรรถนะของการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานด้านประสิทธิผล เพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่ การส่งมอบ รองลงมาคือ กระบวนจัดหาและการผลิต ส่วนกระบวนการวางแผนไม่มี ผลต่อประสิทธิผลของการทำงานด้านนี้ ดังนั้นบริษัทผู้ผลิตจึงควรมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการส่ง มอบให้ตรงเวลาและมีความถูกต้องของสินค้าเพื่อลดความผิดพลาดและต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการส่งของที่ ซ้ำซ้อน