Please use this identifier to cite or link to this item:
http://dspace.spu.ac.th/handle/123456789/7884
Title: | สิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัวกับการคุ้มครองตามกฎหมายไทย |
Other Titles: | RIGHT OF PRIVACY AND PROTECTION UBDER THAI LAW |
Authors: | อุไรพร ขุนพระบาท |
Keywords: | สิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว การคุ้มครอง กฎหมายไทย |
Issue Date: | 2564 |
Publisher: | มหาวิทยาลัยศรีปทุม |
Citation: | อุไรพร ขุนพระบาท. 2554. "สิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัวกับการคุ้มครองตามกฎหมายไทย." สารนิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต กลุ่มสาขากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม. |
Abstract: | สิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เป็นสิทธิมนุษยชนที่สำคัญประเภทหนึ่งที่ถือว่ามีติดตัวบุคคลมาตั้งแต่เกิด คือสิทธิที่จะอยู่ตามลำพัง โดยปลอดจากการแทรกสอดในความเป็นอยู่ส่วนตัว ซึ่งการแทรกสอดนั้นทำให้ได้รับความอับอาย เดือดร้อน รำคาญใจ สูญเสียศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในความเป็นตัวของตัวเอง ที่จะดำเนินชีวิตตามที่ตนต้องการ หรือ การนำชื่อ ภาพ หรือข้อมูลส่วนบุคคลไปหาประโยชน์โดยมิได้รับอนุญาต ซึ่งในสังคมปัจจุบันได้เริ่มมีการกล่าวอ้างถึงสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัวกันบ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น การนำภาพหรือเรื่องราวส่วนตัวไปเปิดเผยต่อสาธารณะ อันทำให้บุคคลนั้นได้รับความอับอาย หรือเดือดร้อนรำคาญใจ ซึ่งสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว ถือเป็นสิทธิประเภทหนึ่งที่ต่างประเทศให้ความสำคัญและคุ้มครองมาอย่างช้านาน สำหรับสังคมไทยในปัจจุบัน ควรที่จะให้ความสนใจในเรื่องนี้กันมากขึ้น เพราะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้บัญญัติคุ้มครองเสรีภาพของบุคคล หรือสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว รวมถึงการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจากการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบไว้ แต่ในปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายระดับรองลงมา เช่น ประมวลกฎหมาย หรือพระราชบัญญัติที่บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง มาพิจารณาประกอบกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ในปัจจุบันกฎหมายที่นำมาใช้บังคับ คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะละเมิด และประมวลกฎหมายอาญาในฐานความผิดต่อชื่อเสียง จึงเป็นการสมควรวิจัยเพื่อพิจารณาแนวทางในการให้ความคุ้มครองสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เพื่อสนองรับกับความจำเป็นที่สังคมไทยควรจะต้องมีในสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัวของปัจเจกชนรวมทั้งบุคคลซึ่งมีสถานะเป็นบุคคลสาธารณะด้วย โดยวิธีการวิจัยได้ศึกษาโดยนำกฎหมายในเรื่องนี้ของสาธารณรัฐไต้หวันและประเทศญี่ปุ่นมาศึกษาด้วย จากการศึกษาค้นคว้าและวิจัยในเรื่องนี้ ผู้วิจัยเห็นว่าการให้ความคุ้มครองแก่สิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัวโดยนำบทบัญญัติอื่นๆ มาปรับใช้ แม้จะได้ผลดีในระดับหนึ่งแต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก ควรออกเป็นกฎหมายบัญญัติในเรื่องที่เกี่ยวกับสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัวของเอกชน หรือกฎหมายที่บัญญัติคุ้มครองสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัวที่ชัดเจนและเกิดความเข้าใจถูกต้องตรงกัน ทั้งฝ่ายศาล อัยการ ทนายความและประชาชนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และควรมีการกำหนดค่าเสียหายทางด้านจิตใจให้ชัดเจน โดยที่การกระทำที่เป็นการละเมิดต่อสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เป็นการกระทำที่กระทบถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และก่อให้เกิดผลกระทบทางจิตใจซึ่งยากที่จะเยียวยาให้เหมือนเดิม นอกจากนี้ในกรณีของบุคคลสาธารณะ ซึ่งในทางกฎหมายถือว่าจะได้รับการคุ้มครองสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัวน้อยกว่าบุคคลธรรมดาทั่วไป ในทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมจึงต้องให้ความคุ้มครองแก่บุคคลสาธารณะ ทั้งนี้บุคคลสาธารณะย่อมเป็นเงื่อนไขพิเศษที่ควรจะได้รับการพิจารณาแตกต่างไปจากบุคคลธรรมดา |
URI: | http://dspace.spu.ac.th/handle/123456789/7884 |
Appears in Collections: | LAW-11. การค้นคว้าอิสระ/สารนิพนธ์ |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
ปกใน.pdf | 19.04 kB | Adobe PDF | View/Open | |
บทคัดย่อ.pdf | 48.72 kB | Adobe PDF | View/Open |
Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.