งานวิจัยสาขาวิชากฎหมายมหาชน
URI ถาวรสำหรับคอลเล็กชันนี้
เรียกดู
การส่งล่าสุด
รายการ บทบาทของรัฐธรรมนูญเพื่อการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไทย(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2550) จำรัสศรี, ปรีชาการปกครองระบอบประชาธิปไตย เป็นการปกครองที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน เป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชน โดยมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดได้รับรองสิทธิ เสรีภาพและมีกฎหมายบัญญัติให้การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มีการปฏิรูประบบการเมืองเพื่อให้การพัฒนาประชาธิปไตยได้ยั่งยืนตลอดไป มีประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมืองทั้งทางตรงและทางอ้อม เนื่องจากรัฐธรรมนูญมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญจึงเปรียบเสมือนเป็นสัญญาประชาคมระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครองซึ่งได้แก่ประชาชนทั้งประเทศ การพัฒนาประชาธิปไตยจะไปด้วยดี ประชาชนต้องมีความรู้ความเข้าใจและความศรัทธาต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยและมีหลักการที่สำคัญคือการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดให้มีรัฐธรรมนูญและการร่างรัฐธรรมนูญโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญและการออกเสียงแสดงประชามติรายการ ศึกษาขอบอำนาจของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนตามพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2546(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2551) นพดล ปกรณ์นิมิตดีการศึกษาเรื่องขอบอำนาจของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนตามพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2546 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทราบถึงสถานะความเป็นนิติบุคคล อำนาจหน้าที่ของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ รูปแบบบทบัญญัติว่าด้วยอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในฐานะนิติบุคคลที่ควรมีในกฎหมาย โดยศึกษาเปรียบเทียบกับกฎหมายของต่างประเทศ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและความเข้าใจมากขึ้น ในเรื่องบทบาทอำนาจหน้าที่ และความเป็นอิสระของมหาวิทยาลัยที่ควรมีเหมือนกันทั้งของรัฐและเอกชน อันเนื่องจากมีปัญหาข้อกฎหมายบางประการที่กฎหมายไม่ได้กำหนดให้ชัดเจน ได้แก่ ปัญหาในเรื่องขอบอำนาจของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนตามกฎหมาย ที่ไม่มีบทบัญญัติว่าด้วยอำนาจหน้าที่ของนิติบุคคล แต่กลับมีบทบัญญัติในเรื่องจำกัดขอบอำนาจตามความในมาตรา 74 อันอยู่ในหมวดว่าด้วยการกำกับและควบคุม การกำหนดโทษทางอาญาในกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชนจำนวนถึง 20 มาตรา ในขณะที่กฎหมายสถาบันอุดมศึกษาของรัฐมีเพียง 1-2 มาตรา ซึ่งหากมีการยกเลิกและบัญญัติเพิ่มเติมกฎหมายให้ชัดเจนก็จะเป็นการส่งเสริมให้เกิดความเท่าเทียมกันทางกฎหมายระหว่างสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเอกชน ปัญหาเหล่านี้จากการศึกษามีข้อเสนอแนะเพื่อการแก้ไขปรับปรุงดังนี้ 1. ควรยกเลิกมาตรา 74 และบทบัญญัติในหมวดการกำกับและควบคุม ให้เหลือเท่าที่จำเป็น 2. ควรยกเลิกบทบัญญัติในส่วนบทกำหนดโทษ ให้เหลือเพียง 1-2 มาตรา 3. ควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในหมวด 3 การดำเนินงาน ให้มีบทบัญญัติเฉพาะว่า ด้วยอำนาจหน้าที่ของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน 4. ควรมีการแบ่งประเภทและระดับการกำกับและควบคุมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนไว้ในกฎหมายรายการ ผลกระทบอันเกิดจากการแก้ไขกฎหมายแรงงาน; ศึกษาเปรียบเทียบพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ กับพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๒) และ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๑(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2552) สุวรรณน้อย, เจียมจิตวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) และ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยเปรียบเทียบกับพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ โดยศึกษาถึงประวัติความเป็นมาและวิวัฒนาการในการคุ้มครองแรงงาน แนวคิดพื้นฐาน แนวทางและความหมายของการคุ้มครองแรงงาน รวมถึงการให้ความคุ้มครองตามมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ เริ่มต้นจากสังคมในยุคโบราณจนพัฒนาความสัมพันธ์ขึ้นในลักษณะจ้างแรงงาน ต่อมาในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมศตวรรษที่ ๑๘ ถึงต้นศตวรรษที่ ๑๙ ภายหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม นายจ้างส่วนใหญ่อยู่ในฐานะที่ได้เปรียบลูกจ้าง ทำให้เกิดปัญหาข้อพิพาทแรงงานเพิ่มขึ้น รัฐจึงเข้าแทรกแซงเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมโดยวิธีตรากฎหมายคุ้มครองแรงงาน ในอดีตของไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตลอดมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีระบบจ้างงานลักษณะคล้ายสัญญาเช่าหรือยืม บทบัญญัติกฎหมายตราสามดวงแสดงถึงการปะปนกันอยู่ของสัญญาประเภทต่าง ๆ ไม่ชัดเจน ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีการเลิกทาส เริ่มมีความคิดนำกฎหมายอย่างประเทศตะวันตกมาใช้ จนกระทั่งปลายสมัยรัชกาลที่ ๖ จึงได้ยกเลิกกฎหมายตราสามดวงและนำประมวลกฎหมาย (Code Law) มาใช้แทน สมัยรัชกาลที่ ๗ ได้ประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ ถึงบรรพ ๔ และสมัยรัชกาลที่ ๘ ได้ประกาศใช้ บรรพ ๕ และบรรพ ๖ การยกร่างประมวลกฎหมายทั้งหกบรรพจึงเสร็จสมบูรณ์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๓ ลักษณะ ๖ ว่าด้วยจ้างแรงงาน ได้วางแนวคิดและพื้นฐานให้คู่สัญญาแสดงเจตนาทำข้อตกลงบนพื้นฐานหลักเสรีภาพในการแสดงเจตนาที่เท่าเทียมกัน แต่นายจ้างส่วนใหญ่อาศัยความได้เปรียบของตนกำหนดให้ลูกจ้างเข้าทำสัญญาจ้างแรงงานตามที่นายจ้างกำหนดแต่ฝ่ายเดียว ด้วยเหตุนี้รัฐในฐานะผู้ปกครองจึงเข้าแทรกแซง รวมทั้งทำหน้าที่เป็นคนกลางคอยไกล่เกลี่ยความขัดแย้งเพื่อยุติปัญหาโดยสันติวิธี เครื่องมือที่รัฐจะใช้ในการสร้างสมดุลอำนาจต่อรองของนายจ้างกับลูกจ้าง คือ การออกกฎหมายคุ้มครองแรงงาน (Labour Protection Law) ขึ้นใช้บังคับเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์มาตรฐานการใช้แรงงาน โดยวางมาตรฐานขั้นต่ำ (Minimum Standard) ในการใช้แรงงาน เพื่อให้ผู้ทำงานมีสุขภาพอนามัยที่ดี มีความปลอดภัยในชีวิตร่างกาย และได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรมตามสมควร ฝ่ายนายจ้างมีความมั่นคงของแรงงานไว้ใช้ในการผลิตหรือบริการที่คงสภาพในระยะยาว การศึกษาผู้วิจัยได้กำหนดหัวข้อในพิจารณาเกี่ยวกับการแก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๒) และ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยเปรียบเทียบกับพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ประกอบแนวทางการให้ความคุ้มครองแรงงานตามมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ โดยกำหนดหัวข้อตามลำดับที่มีการแก้ไข คือ ลูกจ้างรับเหมาค่าแรง สัญญาจ้างที่นายจ้างได้เปรียบลูกจ้างเกินสมควร อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ ดอกเบี้ยค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า การเรียกหรือรับหลักประกัน ลำดับแห่งบุริมสิทธิ การล่วงเกินทางเพศต่อลูกจ้าง ลูกจ้างทดลองงาน การแจ้งการดำเนินการต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ กำหนดเวลาทำงาน การใช้แรงงานหญิง การใช้แรงงานหญิงมีครรภ์ การใช้แรงงานเด็ก ค่าล่วงเวลาและค่าล่วงเวลาในวันหยุดในงานเร่ขายหรือชักชวนซื้อสินค้า ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี เงินชดเชยกรณีนายจ้างจำเป็นต้องหยุดกิจการ การเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย การย้ายสถานประกอบกิจการ การฝ่าฝืนคำสั่งให้จ่ายเงินของพนักงานตรวจแรงงาน และสิทธิในการอุทธรณ์คำสั่งของพนักงานตรวจแรงงาน ผลการศึกษาพบว่า จากการแก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๒) และ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๑ มีทั้งข้อดีและข้อเสียซึ่งผู้วิจัยได้กล่าวไว้โดยละเอียดในบทที่ ๔ พร้อมสรุปและข้อเสนอแนะในการปรับปรุงกฎหมายคุ้มครองแรงงานแล้ว หวังว่างานวิจัยฉบับนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจกฎหมายคุ้มครองแรงงานอยู่บ้างตามสมควร