S_RES-02. บทความวิชาการ/วิจัย (วารสารระดับชาติ)
URI ถาวรสำหรับคอลเล็กชันนี้
เรียกดู
การส่งล่าสุด
รายการ อริยสัจสี่และเอสอีเอ็ม(วิทยาลัยนวัตกรรมและการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา, 2567-01-02) สุบิน ยุระรัช, เกรียงไกร สัจจะหฤทัย, ศิริพร ทองแก้วบทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ คือ (1) เพื่ออธิบายแนวคิดของอริยสัจสี่และเอสอีเอ็ม (2) เพื่ออธิบายความเหมือนและความต่างของอริยสัจสี่และเอสอีเอ็ม และ (3) เพื่อเสนอแนวทางการประยุกต์ใช้อริยสัจสี่และเอสอีเอ็มในงานวิจัยทางสังคมศาสตร์ สาระสำคัญในบทความ ประกอบด้วย แนวคิดของอริยสัจสี่และเอสอีเอ็ม ความเหมือนและความต่างของอริยสัจสี่และเอสอีเอ็ม และแนวทางการประยุกต์ใช้อริยสัจสี่และเอสอีเอ็มในงานวิจัยทางสังคมศาสตร์ แนวคิดอริยสัจสี่เป็นหลักการทางพระพุทธศาสนาที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในงานวิจัยทางการศึกษา ส่วนเอสอีเอ็มเป็นเทคนิคการวิเคราะห์ทางสถิติขั้นสูง ทั้ง 2 แนวคิดมีความแตกต่างกันแต่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในส่วนของการวิเคราะห์เหตุและผลที่สามารถนำมาบูรณาการและประยุกต์ใช้ในการออกแบบการวิจัยแบบผสมทางสังคมศาสตร์ได้ The three objectives of this academic paper are (1) to explain the concepts of Ariyasacca 4 ( the Four Noble Truths) and Structural Equation Model ( SEM) , ( 2) to explain the similarities and differences between Ariyasacca 4 and SEM, and (3) to propose the guidelines for applying Ariyasacca 4 and SEM in social science research. The main points in the article include the concepts of Ariyasacca 4 and SEM, the similarities and differences between Ariyasacca 4 and SEM, and the guidelines for applying Ariyasacca 4 and SEM in social science research. Ariyasacca 4 is a Buddhist principle that can be applied in educational research while SEM is an advanced statistical analysis technique. The two concepts are different but related in terms of cause- and- effect analysis that can be integrated and applied in the design of social science mixed-methods research.รายการ การสังเคราะห์นวัตกรรมอุดมศึกษาและการใช้ประโยชน์สำหรับสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในประเทศไทย(วิทยาลัยนวัตกรรมและการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา, 2567-01-02) สุบิน ยุระรัช, เอกธิป สุขวารีการวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ คือ (1) เพื่อสังเคราะห์นวัตกรรมอุดมศึกษาในประเทศไทย (2) เพื่อวิเคราะห์รูปแบบของนวัตกรรมอุดมศึกษาเอกชนในประเทศไทย และ (3) เพื่อถอดบทเรียนแนวปฏิบัติที่ดีของนวัตกรรมอุดมศึกษาเอกชนในประเทศไทย ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) ผลงานวิจัยที่ทำในหัวข้อเกี่ยวกับนวัตกรรมอุดมศึกษา (2) นวัตกรรมอุดมศึกษาที่เป็นแนวปฏิบัติที่ดี และ (2) นักวิจัยหรือนวัตกรที่สร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรมอุดมศึกษา เครื่องมือวิจัยมี 3 ฉบับ คือ แบบบันทึกข้อมูล แบบสำรวจ และแบบสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองในเดือนกรกฎาคม 2566 - กุมภาพันธ์ 2567 และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยายและการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า (1) นวัตกรรมอุดมศึกษาที่สังเคราะห์ได้ มีจำนวน 214 เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นนวัตกรรมจากสถาบันอุดมศึกษาในกำกับรัฐ (ร้อยละ 26.17) รองลงมา คือ สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ (ร้อยละ 25.23) และมหาวิทยาลัยราชภัฏ (ร้อยละ 25.23) สถาบันอุดมศึกษาเอกชน (ร้อยละ 20.10) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (ร้อยละ 3.27) ตามลำดับ (2) นวัตกรรมอุดมศึกษา แบ่งออกเป็น 6 รูปแบบ ได้แก่ 1) นวัตกรรมด้านหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ 2) นวัตกรรมด้านการผลิตและพัฒนากำลังคน 3) นวัตกรรมด้านเทคโนโลยี 4) นวัตกรรมด้านกลไกหรือกระบวนการใหม่ 5) นวัตกรรมทางสังคม และ 6) นวัตกรรมด้านฐานข้อมูล และ (3) นวัตกรรมอุดมศึกษาที่เป็นแนวปฏิบัติที่ดีและได้รับการถอดบทเรียน มี 5 ชิ้น ได้แก่ 1) หลักสูตรอบรมระยะสั้นแบบสร้างรายได้และมีผลกระทบสูง 2) ระบบตรวจสอบนักศึกษาเข้าห้องเรียนโดยใช้เทคนิคการรู้จำใบหน้า 3) โมเดลการขับเคลื่อนความยั่งยืน: UPC4Local-SDGs Action Model 4) ระบบการบริหารจัดการ Merli Process และ AGI Platform และ 5) แพลตฟอร์มการจัดการการเรียนรู้และการสอนแนวใหม่สำหรับยุคหลังโควิด-19 The objectives of this research were ( 1) to synthesize and classify the categories of higher education innovation in Thailand, ( 2) to analyze the categories of higher education innovation for private higher education institutions in Thailand and the utilization of those higher education innovations, and (3) to extract lessons learned of good practices of higher education innovation for private higher education institutions in Thailand. Samples consisted of research on topics related to higher education innovation, higher education innovations that are good practices, and researchers or innovators who create higher education innovations. The three kinds of research instruments were a data record form, a survey questionnaire, and an in-depth interview form. Data was collected during July 2023 - February 2024. Descriptive statistics and content analysis were used to analyze the data. The major research findings were as follows: (1) there were 214 synthesized Higher Education (HE) innovations and most of them were innovations from autonomous Higher Education Institutions (26.17 %), followed by government HEIs (25.23 %) and Rajabhat Universities (25.23 %), private HEIs ( 20. 10 %) and Rajamangala University of Technology ( 3. 27 %), respectively, ( 2) HE innovation is divided into 6 types: 1) Innovation in curriculum and learning management, 2) innovation in manpower production and development, 3) technology innovation, 4) innovation in new mechanisms or processes, 5) social innovation, and 6) database innovation, and (3) HE innovations that are 5 good practices and lessons learned include 1) a short-term income-generating and high-impact training course, 2) a system for checking students into class using facial recognition technique, 3) Sustainability Driving Model: UPC4Local-SDGs Action Model, 4) Merli Process Management System and AGI Platform, and 5) New Learning and Teaching Management Platform for the Post-COVID-19 Era.รายการ แนวทางการสอนสถิติสำหรับนักศึกษาปริญญาเอกที่วิชาเอกไม่ใช่สถิติ(วิทยาลัยนวัตกรรมและการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา, 2566-01-01) สุบิน ยุระรัชการวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ 2 ข้อ คือ (1) เพื่อสังเคราะห์งานวิจัยเกี่ยวกับเทคนิคการสอนสถิติสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาเอก และ (2) เพื่อนำเสนอแนวทางการสอนสถิติที่เหมาะสมสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาเอกที่วิชาเอกไม่ใช่สถิติ ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ บทความวิจัย จำนวน 6 เรื่อง นักศึกษาระดับปริญญาเอก จำนวน 6 คน และผู้สอนวิชาสถิติในระดับปริญญาเอก จำนวน 3 คน เครื่องมือวิจัยมี 2 ฉบับ คือ แบบบันทึกข้อมูล และ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2565 และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า (1) เทคนิคหรือวิธีที่นิยมนำมาใช้สอนสถิติสำหรับนักศึกษาปริญญาเอก มีจำนวน 7 เทคนิค ได้แก่ การสอนโดยใช้กระบวนการกลุ่ม การสอนแบบเน้นมโนทัศน์ การสอนแบบโครงงานรายบุคคล การสอนโดยใช้พหุกรณีศึกษา การให้ข้อมูลป้อนกลับ/ปฏิสัมพันธ์ และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ (2) แนวทางการสอนสถิติที่เหมาะสมสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาเอกที่ไม่ได้เรียนเอกสถิติ คือ การสอนที่มุ่งเน้นให้นักศึกษามีแนวคิดรวบยอดหรือมโนทัศน์ควบคู่ไปกับการฝึกปฏิบัติ The objective of this research was (1) to synthesize research findings regarding on teaching techniques of statistics for doctoral students and (2) to propose an appropriate approach to teaching statistics for doctoral students whose majors are not statistics. Samples consisted of six research articles, six doctoral students, and three Instructors of statistics at doctoral level. The two research instruments were a data record form and an in-depth interview form. Data was collected during May-June 2022 and content analysis was used to analyze the data. The major research findings were as follows: (1) popular teaching techniques of statistics for doctoral students comprise group discussion, Concept-Based Instruction, individualized project, practice, multiple case studies, feedback/interaction, and informal meetings, and (2) the approach of teaching statistics for the doctoral students whose majors are not statistics should focus on teaching concepts along with practice.รายการ ทำไมต้องลิเคิร์ต ?(วิทยาลัยนวัตกรรมและการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา, 2565-06-01) สุบิน ยุระรัชมาตรประเมินรวมค่าเป็นเครื่องมือวิจัยที่นำมาใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณทางสังคมศาสตร์ และในบริบทของการวิจัยทางสังคมศาสตร์ในประเทศไทยมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลาย บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ คือ (1) เพื่ออธิบายแนวคิดและหลักการสำคัญของเครื่องมือในการวิจัยเชิงปริมาณ (2) เพื่ออธิบายคุณลักษณะของมาตรประเมินรวมค่าของ Likert ตามต้นฉบับของผู้คิดค้น และ (3) เพื่อนำเสนอทางเลือกในการใช้มาตรประเมินรวมค่าในการวิจัยทางสังคมศาสตร์ บทความเรื่องนี้มาจากการศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวข้องในเชิงแนวคิด หลักการ และคุณลักษณะของมาตรประเมินรวมค่า ทำให้ได้ทางเลือกในการใช้มาตรประเมินรวมค่าหลายแบบเพื่อใช้ในการวิจัยทางสังคมศาสตร์ที่นักวิจัยสามารถเลือกนำไปปรับใช้ได้ให้เหมาะสมรายการ การปลูกฝังกรอบความคิด เรื่อง ความรู้คู่คุณธรรม ให้กับนักศึกษาปริญญาตรี โดยใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง(คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2564-01-01) สุบิน ยุระรัชการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ คือ (1) เพื่อศึกษาระดับของการใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการดำเนินชีวิต (2) เพื่อวิเคราะห์ตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อการใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการดำเนินชีวิต และ (3) เพื่อนำเสนอแนวทางการปลูกฝังกรอบความคิดเรื่อง ความรู้คู่คุณธรรม การวิจัยเชิงปริมาณ ตัวอย่าง คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี จำนวน 390 คน การวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 6 คน เครื่องมือวิจัยมี 3 ฉบับ ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์เชิงลึก และแบบบันทึกภาคสนาม ผลการวิจัยพบว่า (1) นักศึกษาใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการดำเนินชีวิตอยู่ในระดับมากโดยนำหลักของความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกัน ไปประยุกต์ใช้ในการเรียนและการใช้ชีวิต (2) ความมุ่งมั่นมีอิทธิพลทางตรงต่อการใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการดำเนินชีวิต การรับรู้ผลของพฤติกรรมมีอิทธิพลทางตรงต่อความมุ่งมั่น และมีอิทธิพลทางตรงต่อเจตคติต่อการใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การรับรู้ผลของพฤติกรรมมีอิทธิพลทางอ้อมต่อการใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และ (3) แนวทางการปลูกฝังกรอบความคิด เรื่อง ความรู้คู่คุณธรรม มี 5 ขั้นตอน ได้แก่ (1) การบ่มเพาะ (2) การสร้างการรับรู้ (3) การฝึกปฏิบัติ (4) การถอดบทเรียน และ (5) การสร้างองค์ความรู้และองค์ความคิด โดยดำเนินการผ่านกระบวนการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาที่น้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ Three main objectives of this research were (1) to study the level of the use of Philosophy of Sufficiency Economy (PSE) for living, (2) to analyze the variables effecting on the use of PSE for living, and (3) to propose the guidelines of the mindset cultivation of “Knowledge with Virtue” by using PSE. For quantitative analysis (QUAN), the sample consisted of the 390 bachelor’s degree students. For qualitative analysis (qual), the sample consisted of six key informants. Three types of research instruments were included: a questionnaire, an in-depth interview form, and a field note. The research findings were as follows: (1) PSE was used by the students at high level by applying the principles of Moderation, Reasonableness, and Self-Immunity to their study and living, (2) intention directly effects on the use of PSE for living, behavioral perception directly effects on the intention and on attitude towards the use of PSE for living, the behavioral perception indirectly effects on the use of PSE for living, and (3) the guidelines of mindset cultivation of knowledge with virtue were five steps comprising Step 1: Incubation, Step 2: Perception, Step 3: Exercise, Step 4: Lesson Learned, and Step 5: Construction of Knowledge and Thinking Bodies by carrying out through the teaching and learning process in which the Philosophy of Sufficiency Economy is applied.รายการ กระบวนการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง: กรณีศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี(มหาวิทยาลัยรังสิต ร่วมกับเครือข่ายวิจัยประชาชื่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ Malayan Colleges Laguna (Philippines) Nong Lam University (Vietnam) Nanophotonics Research Center, Shenzhen University (China) Prince of Songkla University (Thailand) Kyushu Dental University (Japan) และ Universitas Kristen Maranatha (Indonesia), 2563-05-01) สุบิน ยุระรัชการวิจัยเชิงคุณภาพเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ 2 ข้อ คือ (1) เพื่อศึกษากิจกรรมเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับศาสตร์ของพระราชาในเรื่องปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และ (2) เพื่อนำเสนอกระบวนการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้กับนักศึกษาปริญญาตรี ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี อาจารย์ผู้สอนรายวิชา ศาสตร์พระราชากับการพัฒนาที่ยั่งยืน เกษตรอำเภอ และนักศึกษาระดับปริญญาตรี รวม 10 คน เครื่องมือวิจัยมี 2 ฉบับ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก และแบบบันทึกภาคสนาม การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองโดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก และการเก็บข้อมูลภาคสนาม ผลการวิจัยพบว่า (1) กิจกรรมเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับศาสตร์ของพระราชาในเรื่องปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มี 3 องค์ประกอบได้แก่ การบรรยายในห้องเรียน การเรียนรู้นอกห้องเรียน และการถอดบทเรียนจากการเรียนรู้ในเชิงทฤษฎีและเชิงปฏิบัติ และ (2) กระบวนการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้กับนักศึกษาปริญญาตรีเป็นผลที่ได้มาจากการสัมภาษณ์เชิงลึกและการลงพื้นที่ในสนามวิจัย โดยกระบวนการนี้แบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอน ได้แก่ การบ่มเพาะ การสร้างการรับรู้ การฝึกปฏิบัติ การถอดบทเรียน และการเกิดองค์ความรู้และองค์ความคิดรายการ แนวคิดและแนวทางการทำวิจัยพัฒนาตัวบ่งชี้ทางการศึกษาและการนำไปใช้ประโยชน์(บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2562-05-01) สุบิน ยุระรัช; ไพบูลย์ สุขวิจิตร บาร์บทความวิชาการเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ คือ (1) เพื่ออธิบายแนวคิด ความสำคัญ และเทคนิคการพัฒนาตัวบ่งชี้ทางการศึกษา (2) เพื่ออธิบายแนวทางการออกแบบและการทำวิจัยพัฒนาตัวบ่งชี้ทางการศึกษา และ (3) เพื่อศึกษาการนำผลการวิจัยพัฒนาตัวบ่งชี้ทางการศึกษาไปใช้ประโยชน์ บทความเรื่องนี้มาจากการสังเคราะห์เอกสารเป็นหลัก โดยใช้บทความวิจัยในฐานข้อมูลดัชนีการอ้างอิงวารสารไทยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2552-2561) เป็นกรณีศึกษา ผลการสังเคราะห์เอกสาร พบว่า (1) องค์ความรู้ที่เกิดจากการวิจัยพัฒนาตัวบ่งชี้ทางการศึกษา คือ ชุดขององค์ประกอบและตัวบ่งชี้ที่สะท้อนคุณภาพหรือคุณลักษณะของสิ่งที่ศึกษาซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของบุคคล เช่น ผู้บริหารสถานศึกษา ครู ผู้เรียน เป็นต้น (2) การออกแบบการวิจัยพัฒนาตัวบ่งชี้ทางการศึกษานิยมใช้วิธีวิทยาการวิจัยเชิงปริมาณมากกว่าเชิงคุณภาพ และเทคนิคที่นิยมใช้มากที่สุดในการวิจัยเชิงปริมาณ คือ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับที่สอง และ (3) การนำผลการวิจัยพัฒนาตัวบ่งชี้ทางการศึกษาไปใช้ประโยชน์นิยมทำใน 2 ประเด็น ได้แก่ การใช้ประโยชน์ในเชิงวิชาการ และการใช้ประโยชน์ในเชิงนโยบายรายการ แนวโน้มการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีในประเทศไทย(สถาบันวิจัยญาณสังวร (Yanasangvorn Research Institute), 2562-01-01) พระมหาวรพล วรพโล (ม่วงสาว) สุบิน ยุระรัช และอรรณพ จีนะวัฒน์การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาพัฒนาการของการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีในประเทศไทย (2) วิเคราะห์แนวโน้มการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีในประเทศไทย และ (3) นาเสนอแนวทางการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีในประเทศไทย แบบแผนของการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ตัวอย่าง คือ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาของคณะสงฆ์ จานวน 21 รูป/คน ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญที่เป็นพระภิกษุสงฆ์ จานวน 17 รูป และผู้เชี่ยวชาญที่เป็นคฤหัสถ์จานวน 4 คน ซึ่งมาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างและแบบสอบถาม ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า (1) ด้านหลักสูตร ศึกษาแต่อรรถกถาและฏีกา ไม่ได้ศึกษาจากต้นฉบับคือพระไตรปิฎกโดยตรง จึงทาให้ไม่สามารถเข้าถึงองค์ความรู้บางส่วนได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน และควรเสริมบทเรียนไวยากรณ์ชั้นสูงในชั้นเปรียญเอก รวมไปถึงการผสมผสานศาสตร์ความรู้ด้านอื่นที่ทันสมัยเข้ามาประยุกต์ เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้เรียนหันมาสนใจมากขึ้น (2) ด้านการจัดการศึกษา การศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลี จัดเป็นการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย แต่ไม่มีพระราชบัญญัติการศึกษาที่ระบุถึงการศึกษาประเภทนี้ไว้โดยเฉพาะ ฝ่ายศาสนจักรคือคณะสงฆ์จัดทาการศึกษาดังกล่าวเพียงลาพัง โดยปราศจากความร่วมมือจากฝ่าย อาณาจักร (3) ด้านการเรียนการสอน มุ่งเน้นที่วิธีการหรือกระบวนการเพื่อสอบให้ผ่านเพียงเดียว ขาดการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ (4) ด้านผู้สอน ขาดหลักจิตวิทยาในการสอน ผู้สอนขาดประสบการณ์ (5) ด้านผู้เรียน ความนิยมลดลงเมื่อเทียบกับสมัยอดีต ศึกษาเพื่อต้องการนาไปเทียบวุฒิการศึกษาประเภทอื่น (6) ด้านการวัดผลและการประเมินผล ไม่ครอบคลุม ควรมีข้อสอบประเภทปรนัยเพื่อให้ครอบคลุมองค์ความรู้ทั้งหมดรายการ การวิเคราะห์ตัวแปรที่มีอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมต่อพฤติกรรมการดำเนินชีวิตด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของนักศึกษาปริญญาตรี.(สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ และเครือข่าย, 2562-07-05) สุบิน ยุระรัชการวิจัยเชิงปริมาณเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ 2 คือ (1) เพื่อศึกษาระดับของพฤติกรรมการดำเนินชีวิตด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของนักศึกษาปริญญาตรี และ (2) เพื่อวิเคราะห์ตัวแปรที่มีอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมต่อการดำเนินชีวิตด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของนักศึกษาปริญญาตรี ตัวอย่าง คือ นักศึกษาปริญญาตรี จำนวน 390 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการใช้แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย สถิติเชิงบรรยายและการวิเคราะห์เส้นทาง ผลการวิจัยพบว่า (1) นักศึกษาปริญญาตรีมีพฤติกรรมการดำเนินชีวิตด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอยู่ในระดับมาก และ (2) ความมุ่งมั่นมีอิทธิพลทางตรงต่อพฤติกรรมการดำเนินชีวิตด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การรับรู้ผลของพฤติกรรมมีอิทธิพลทางตรงต่อความมุ่งมั่น และมีอิทธิพลทางตรงต่อเจตคติต่อการใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การรับรู้ผลของพฤติกรรมมีอิทธิพลทางอ้อมต่อพฤติกรรมการดำเนินชีวิตด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยส่งผ่านตัวแปรความมุ่งมั่น ส่วนความรู้เกี่ยวกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ไม่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการดำเนินชีวิตด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงรายการ A Causal Relationship Model of Business Performance Sustainable Supply Chain Management of Electronics Industry in Thailand(International Journal of the Computer, the Internet and Management (IJCIM), 2562-05-01) Leelasrisiri, C., Maneesri, T. and Yurarach, S.The purposes of this research were to: 1) develop and validate the causal model displaying the effect of causal factors on Business Performance Sustainable Supply Chain Management of Electronics Industry in Thailand, 2) study the effect sizes of Operational efficiency in the causal model of Business Performance Sustainable Supply Chain Management of Electronics Industry in Thailand, and 3) Guidelines for strategic planning of Electronics Industry in Thailand. The research sample consisted of 400 private entrepreneurs, randomly and multi stage select from 400 private entrepreneurs in Thailand. The research instruments were questionnaires Implementation Sustainable Supply Chain Management, Supply Chain Collaboration, Employee satisfaction, Operational efficiency and Performance of Sustainable Supply Chain Management Data analysis ware descriptive statistics, one-way multivariate analysis and The path analysis was used to test the hypotheses. The structural equation modeling: SEM. The major research findings were as follows: 1) The validation of the causal model indicating the effects of Business Performance Sustainable Supply Chain Management indicated that the model was fit empirical data (X2 = 319.80; df = 216; p = .0635; GFI .97; AGFI .98; RMR .045) and 2) The validation of the Operational efficiency in the causal model of Business Performance Sustainable indicated that the model was fit empirical data (X2 = 40.86; df = 28; p = .05536; GFI = .98; AGFI .96; RMR .0099) with an acceptable stability index of .605. And Guidelines for strategic planning of private entrepreneurs and Training Needs Assessment Survey.รายการ องค์ประกอบและแนวทางการทำประกันคุณภาพอย่างมีความสุขของอาจารย์สถาบันอุดมศึกษาเอกชน(2558-07) สุบิน ยุระรัช