Please use this identifier to cite or link to this item: http://dspace.spu.ac.th/handle/123456789/5952
Title: ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการใช้อำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
Other Titles: Legal problems regarding power exercising of the National Anti-Corruption Commission (NACC)
Authors: ธีรวัฒน์ นามคีรี
Keywords: การใช้อำนาจ
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
Issue Date: 7-March-2562
Abstract: องค์กรอิสระในการปราบปรามการทุจริตหรือคอรัปชั่นเกี่ยวกับการใช้อำนาจของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีอำนาจมากเกินไปจนทำให้ กระทบต่อการใช้อำนาจของฝ่ายปกครองหรือหน่วยงานของรัฐอื่นและระบบการบริหารราชการ ของฝ่ายปกครองในการใช้อำนาจฟ้องคดีได้เองถ้าพนักงานอัยการมีความเห็นไม่สั่งฟ้องและอำนาจ ในการลงโทษทางวินัยข้าราชการและคำสั่งของคณะกรรมการวินิจฉัยเรื่องราวร้องทุก นอกจากนั้น การใช้อำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยังแทรกแซง การบริหารจัดการภาคธุรกิจในการจัดซื้อจัดจ้างกับรัฐและการออกประกาศในการห้ามมิให้ เจ้าหน้าที่และคู่สมรสดำเนินธุรกิจการค้าที่ส่งผลกระทบด้านการจำกัดเสรีภาพของบุคคลและการ ให้บุคคลรับผิดทางอาญาในการกระทำของผู้อื่นและการผลักภาระการพิสูจน์ทางอาญา จาก การศึกษาผู้ศึกษาขอเสนอแนะว่าการใช้อำนาจของคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ (ป.ป.ช.)ในการใช้สิทธิฟ้องร้องต่อผู้ดำรงตำแหน่งทาการเมืองควรให้คณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีอำนาจในการฟ้องร้องได้เองโดยไม่มีเงื่อนไข และปัญหาการใช้อำนาจลงโทษทางวินัยข้าราชการของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ควรสิ้นสุดเพียงการดำเนินการของข้าราชการซึ่งเป็นหัวหน้าของข้าราชการ ที่ถูกลงโทษทางวินัยเท่านั้นส่วนอำนาจของคณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ (ป.ป.ช.) คงไม่มีอำนาจไปถึงคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ถ้าข้าราชการที่ถูกลงโทษทาง วินัย ส่วนปัญหาพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริต พ.ศ. 2542 (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2554) แทรกแซงการบริหารจัดการภาคธุรกิจในการจัดซื้อจัด จ้างกับรัฐควรที่จะไม่ก้าวก่ายภาคธุรกิจมาจนอาจจะทำให้ไม่มีผู้ประกอบการอย่างแท้จริงเข้ามา ประมูลทำสัญญากับรัฐซึ่งจะมีเพียงตัวแทนในการประมูลงานกับรัฐเท่านั้น ส่วนปัญหามาตรา 100, 101 และมาตรา 122 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ.2542 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2554) ควรมีการตรากฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 100, 101 และมาตรา 122 ดังกล่าวให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและหลักแห่งนิติธรรมมากยิ่งขึ้นและกรณีคู่ สมรสเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เห็นว่าตนถูกจำกัดเสรีภาพในการประกอบอาชีพตามประกาศของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มากเกินไปอาจใช้สิทธิฟ้องตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 28 วรรคสอง และใช้สิทธิตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ขอให้เพิกถอน ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดังกล่าวแล้วใช้สิทธิตาม มาตรา 211 แห่งรัฐธรรมนูญโต้แย้งว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2554) ดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญและ ขอให้ศาลปกครองส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยและในกรณีที่เจ้าหน้าที่ ของรัฐถูกดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 122 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2554) เนื่องจากคู่สมรสได้ไป ประกอบธุรกิจที่ต้องห้ามตามมาตรา 100 และเมื่อถูกฟ้องคดีต่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา คดีอาญาก็ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 28 วรรคสอง และมาตรา 211 ต่อสู้คดีโต้แย้งว่ามาตรา 122 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแลขอให้ศาลดังกล่าวส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณา วินิจฉัยต่อไป
Description: นิติศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี
URI: http://dspace.spu.ac.th/handle/123456789/5952
Appears in Collections:S_CHO-09. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
abstract.pdf111.65 kBAdobe PDFView/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.