College of Logistics and Supply Chain
URI ถาวรสำหรับชุมชนนี้
เรียกดู
กำลังเรียกดู College of Logistics and Supply Chain โดย วันที่ออก{{beginningWith}}
ตอนนี้กำลังแสดง1 - 20 ของ 119
ผลลัพธ์ต่อหน้า
ตัวเลือกเรียงลำดับ
รายการ แนวทางการลดปัญหาการเน่าเสียของผักผลไม้สดส่งออกโดยเครื่องบิน(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2561) ศิรินันท์ พันโนการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ถึงสาเหตุของปัญหาผักและผลไม้เสียหายในการขนส่งและเพื่อเสนอแนวทางการแก้ปัญหาผักและผลไม้เสียหายในการขนส่งโดยนำแนวคิดลีนหลักการ ECRS ช่วยในการวิเคราะห์ลดความสูญเปล่าในการดำเนินงาน มาช่วยในกระบวนการการทำงานให้รวดเร็วขึ้น จากการเขียนแผนผังก้างปลา (Fishbone Diagram)วิเคราะห์ถึงสาเหตุของปัญหาที่ทำให้ผักและผลไม้เสียหายเกิดขึ้นมาจาก 3 กระบวนการคือ ส่วนของบริษัทไม่มีการตรวจสอบผักและผลไม้จากชาวสวนและใช้หนังสือพิมพ์ในบรรจุหีบห่อผักและผลไม้ ส่วน Shipping การพักสินค้า ส่วน คาร์โก้ การจัดเรียงสินค้าเข้าตู้คอนเทนเนอร์ การเสนอแนวทางได้จากการปรับปรุงด้วยเทคนิค ECRS โดยใช้ ส่วนของบริษัท แนวคิดการควบคุมคุณภาพ (Quality Control Q.C.) เพื่อลดโอกาสที่จะทำให้มีปัญหาผักและผลไม้เน่าเสียที่มาจากชาวสวนและการใช้ฟิล์มบรรจุภัณฑ์ในการบรรจุหีบห่อผักและผลไม้ เพื่อการยืดอายุในการเก็บรักษาผักและผลไม้ ให้คงคุณค่า ความสดใหม่ ไว้ได้นานกว่าเดิมส่วนของ Shipping การจัดมาตรฐานในการทำงานไม่ให้มีการพักสินค้า ช่วยให้ลดกระบวนการรอคอยลงได้ ส่วนของ คาร์โก้ การแบ่งปันของข้อมูลข่าวสาร ความต้องการในการขนส่งต่อวัน เพื่อจัดเตรียมตู้คอนเทนเนอร์ให้เพียงพอกับความต้องการ สินค้าที่มาถึงคลังก่อนถยอยบรรจุก่อนเพื่อรอสินค้าที่เหลือเข้ามาเติมเต็มบรรจุสินค้าตามใส่ตู้คอนเทนเนอร์ LD3 ปริมาตรในการบรรจุ 4.0 ลบ.ม น้ำหนักไม่เกิน1588 กิโลกรัม แนวความคิดการจัดการทั้ง 2 แบบจะทำให้ลดช่องว่างในการทำงานและสามารถลดระยะเวลาการทำงานลงได้รายการ ตัวแบบเชิงสาเหตุของการบูรณาการโซ่อุปทานที่มีต่อคุณภาพการบริการของโรงพยาบาลในสังกัดสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2561) ฉัตรชัย เหล่าเขตการณ์งานวิจัยชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบ ด้านการบูรณาการกับซัพพลายเออร์ ด้านการบูรณาการภายใน ด้านการบูรณาการกับผู้ป่วย และด้านคุณภาพการบริการในโรงพยาบาล 2)เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของปัจจัยด้านการบูรณาการกับซัพพลายเออร์ ด้านการบูรณาการภายใน ด้านการบูรณาการกับผู้ป่วย 3)เพื่อวิเคราะห์อิทธิพลเชิงสาเหตุของปัจจัยด้านการบูรณาการกับซัพพลายเออร์ ด้านการบูรณาการภายใน ด้านการบูรณาการกับผู้ป่วย ที่มีต่อคุณภาพการบริการในโรงพยาบาล และ 4)เพื่อค้นหาตัวแบบตัวแบบเชิงสาเหตุด้านการบูรณาการโซ่อุปทานที่มีผลต่อคุณภาพการบริการในโรงพยาบาล โดยการวิจัยแบบผสมเชิงอธิบาย กลุ่มตัวอย่างการวิจัยคือ ผู้บริหารและผู้ป่วยของโรงพยาบาล ในสังกัดสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 210 แห่ง เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์เชิงลึก สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์เพียร์สัน และค่าการตรวจสอบความสอดคล้องกลมกลืนของตัวแบบ ผลการศึกษาพบว่า การบูรณาการกับซัพพลายเออร์ และด้านการบูรณาการภายใน มีอิทธิพลเชิงลบต่อคุณภาพการบริการในโรงพยาบาล ส่วนการบูรณาการกับผู้ป่วยมีอิทธิพลเชิงบวกต่อคุณภาพการบริการในโรงพยาบาลรายการ การหาทำเลที่ตั้งคลังสินค้าด้วยเทคนิควิธีศูนย์กลางโน้มถ่วงและวิธีการประเมินระดับความสำคัญของปัจจัย กรณีศึกษา : ธุรกิจนำเข้าวัตถุดิบอาหาร(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2561) พนารัตน์ เหล่าพงศ์เจริญการค้นคว้าอิสระฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกทำเลที่ตั้งคลังสินค้า และ เพื่อเลือกทำเลที่ตั้งคลังสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้รวดเร็วขึ้น โดยใช้วิธีวิเคราะห์จุดศูนย์กลางแรงโน้มถ่วง (Center of Gravity Method) เพื่อหาทำเลที่เหมาะสม จุดที่หาได้ซึ่งสามารถระบุตำแหน่งได้ที่ 146/26 บางแวก แขวงบางไพร เขตบางแค กรุงเทพมหานคร 10160 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ไม่มีคลังสินค้าให้เช่า หรือ ไม่มีระบบโครงสร้างพื้นฐานใด ๆ เลย จึงได้ทำการขยายขอบเขตของการหาพื้นที่ออกไปในรัศมี 30 กิโลเมตร จากนั้นใช้วิธีประเมินระดับความสำคัญของปัจจัย (Factor Rating Method) กำหนดตัวแปรที่มีความสำคัญต่อการตัดสินใจจากการสัมภาษณ์ผู้มีส่วนได้เสียแล้ว สามารถสรุปปัจจัยและ น้ำหนักที่จะนำมาพิจารณาเลือกทำเลที่ตั้งคลังสินค้าของบริษัทกรณีศึกษาได้ดังนี้ 1.ต้นทุนค่าขนส่ง 18% 2.โครงสร้างพื้นฐาน/ สภาพแวดล้อม 18% 3.ต้นทุนการดำเนินการ 17% 4.ต้นทุนด้านคลังสินค้า 16% 5.ภูมิศาสตร์/ การเข้าถึงลูกค้า 16% 6.การดำเนินธุรกิจ/ กฏระเบียบ 15% ใส่คะแนนให้ปัจจัยต่าง ๆ ในแต่ละสถานที่ตั้ง คำนวนค่าคะแนนกับค่าน้ำหนักของแต่ละปัจจัย แล้วรวมคะแนนทั้งหมดของแต่ละทางเลือก โดยคลังที่ได้คะแนนสูงที่สุด คือ บริษัท ทรัพย์ศรีไทย จำกัด (มหาชน)รายการ การศึกษาสมรรถนะของบุคลากรด้านโลจิสติกส์ 4.0 ด้วยเทคนิคการแปลงหน้าที่เชิงคุณภาพ (QFD)(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2561) ภคพล พิงพิทยากุลการศึกษาสมรรถนะของบุคลากรด้านโลจิสติกส์ 4.0 นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎีของสมรรถนะที่จำเป็นของบุคลากรด้านโลจิสติกส์ และเพื่อกำหนดรายการสมรรถนะที่จำเป็นของบุคลากรด้านโลจิสติกส์ เพื่อรองรับแนวคิดโลจิสติกส์ 4.0 ผลการวิจัย พบว่า การวิเคราะห์สมรรถนะที่มีความสำคัญและจำเป็นของบุคลากรด้านโลจิสติกส์ในยุคโลจิติกส์ 4.0 ผู้ตอบแบบสอบถามบุคลากรส่วนใหญ่เป็นผู้บริหารระดับกลาง (เช่น ผู้อำนวยการ ผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้าศูนย์) ประเภทหน่วยงานเป็นผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ ประเภทธุรกิจตามกลุ่มสินค้าที่หน่วยงานของบุคลากรเป็นประเภทธุรกิจยานยนต์ และชิ้นส่วนอะไหล่ยนต์และประเภทธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค ตามลำดับ ผลการวิเคราะห์สมรรถนะของบุคลากรด้านความรู้ ส่วนใหญ่เป็นบุคลากรมีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลปัญหาเบื้องต้น ด้านคุณธรรมจริยธรรม ส่วนใหญ่เป็นบุคลากรมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ด้านภาวะผู้นำ ส่วนใหญ่เป็นบุคลากรมีทักษะการรับสินค้า ด้านภาวะผู้นำ ส่วนใหญ่เป็นบุคลากรมีการรับรู้ความต้องการเป้าหมายขององค์กร ตามลำดับ และผลการวิเคราะห์ความเห็นเกี่ยวกับวิธีการพัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์บุคลากรด้านโลจิสติกส์ ส่วนใหญ่บุคลากรมีความคิดเห็นในเรื่องของศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของบุคลากรส่วนใหญ่มีความสามารถปรับตัวได้ทันกับเทคโนโลยีในการทำงานและวิธีการจำเป็นต้องพัฒนาบุคลากรส่วนใหญ่เป็นการไปศึกษาดูงานรายการ การพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับการจัดการขนส่งสินค้า กรณีศึกษา : บริษัทผู้ให้บริการด้านธุรกิจขนส่งสินค้า(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2561) วัชรพล สิงหะเนติงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาวิเคราะห์ปัญหาการบริหารจัดการวางแผนการขนส่งสินค้า และพัฒนาระบบบริหารการจัดการขนส่ง (TMS) เพื่อลดระยะเวลาในการวางแผนการขนส่ง ลดขั้นตอนการทำงานที่ไม่จำเป็น และลดข้อผิดพลาดในการทำงานต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น โดยผู้วิจัยได้ทำการศึกษาในภาพรวมของการบริหารจัดการขนส่งสินค้า พร้อมทั้งเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดของบริษัทกรณีศึกษา นำไปทำการวิเคราะห์ ออกแบบ และพัฒนาระบบ TMS จากนั้นจึงนำผลที่ได้มาทำการเปรียบเทียบก่อนและหลังการนำระบบ TMS มาใช้ซึ่งผลการวิจัยพบว่าจากการปรับปรุงกระบวนการทำงาน และการนำระบบ TMS มาใช้สามารถลดกระบวนการทำงานที่ไม่จำเป็นออกได้ และทำการเพิ่มกระบวนการทำงานที่จำเป็นเข้าไปแทน โดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงาน ซึ่งขั้นตอนในการทำงานแบบเดิมมีทั้งหมด 13 ขั้นตอน ส่วนขั้นตอนในการทำงานแบบปรับปรุงมีทั้งหมด 12 ขั้นตอน ลดลงมา 1 ขั้นตอน ในส่วนของระยะเวลาในการทำงาน การทำงานแบบเดิมใช้เวลาทั้งหมด 1025 นาที และการทำงานแบบปรับปรุงใช้เวลาทั้งหมด 965 นาที ลดระยะเวลาลงมา 60 นาที คิดเป็นร้อยละ 5.85รายการ การพยากรณ์ความต้องการแว่นตา กรณีศึกษา : ร้านรักแว่น(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2561) อนุสรณ์ บุญสง่าปัจจุบันธุรกิจร้านแว่นตามีการแข่งขันทางธุรกิจที่สูง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจร้านค้าทั่วไป ที่มีหลากหลายยี่ห้อและหลายรูปแบบ ปัจจัยที่สำคัญของร้านแว่นตา คือการบริหารต้นทุนของสินค้า จึงจำเป็นจะต้องแก้ไขจุดอ่อนของธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน ซึ่งการค้นคว้าอิสระนี้จึงมีวัตถุประสงค์ เพื่อพยากรณ์การสั่งซื้อสินค้าของร้านรักแว่น และหาแนวทางแก้ไขปัญหาสินค้าเคลื่อนไหวช้าและไม่มีการเคลื่อนไหว โดยเก็บรวบรวมข้อมูลตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2558 จนถึง เดือนธันวาคม พ.ศ. 2559 และนำข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์เปรียบเทียบวิธีหาค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ วิธีหาค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงน้ำหนัก วิธีปรับเรียบแบบเอ็กซ์โพเนนเชียลแบบง่าย การวิเคราะห์สมการถดถอย การพยากรณ์นาอีฟ และวิธีแยกส่วนประกอบ เพื่อหาตัวแบบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการพยากรณ์และคำนวณหายอดสั่งซื้อแว่นสายตาที่ใกล้เคียงกับความต้องการจริง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้พบว่า การพยากรณ์วิธีแยกส่วนประกอบได้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงมากกว่าการพยากรณ์รูปแบบอื่น โดยมีค่า MAD , MSE และ MAPE ต่ำสุด คือ Rayban เท่ากับร้อยละ 1.34, 2.34 และ 52.63 ตามลำดับ LEVI’S เท่ากับร้อยละ 2.15, 6.20 และ 33.70 ตามลำดับ และ Frank Custom เท่ากับร้อยละ 4.40, 27.47 และ 25.85 ตามลำดับ นอกจากการพยากรณ์ด้วยวิธีแยกส่วนประกอบ จะเหมาะสมกับการพยากรณ์ยอดขายยังสามารถใช้ในการวางแผนการบริหารสินค้าคงคลังในธุรกิจร้านแว่น รวมถึงธุรกิจค้าปลีกอื่นๆ เช่นกันรายการ การลดต้นทุนคลังบรรจุภัณฑ์ด้วยหลักการ ECRS กรณีศึกษา: ผู้ผลิตโคมไฟ(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2561) ลัลนา สุวรรณางานวิจัยนี้นำเสนอการปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานเพื่อลดต้นทุนคลังบรรจุภัณฑ์สินค้า โดยใช้ การกำจัด – การรวมกัน – การจัดใหม่ – การทำให้ง่าย เรียกว่า หลักการ "ECRS" ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที เน้นการมีส่วนร่วมของคนในองค์กร ด้วยการปรับแนวคิดในการทำงาน ผลการวิจัยแสดงให้เห็นแนวปฏิบัติที่ดี 4 กรณี ดังนี้ กรณีที่ 1 ปรับคุณภาพของกระดาษทำกล่องส่งผลให้ สามารถลดต้นทุนลงได้ 120,600 บาท คิดเป็น 16 เปอร์เซ็นต์ กรณีที่ 2 จัดกลุ่มมาตรฐานขนาดกล่องเพื่อลดความหลากหลายของขนาดให้เหลือเพียง 6 กลุ่ม และสามารถเพิ่มปริมาณการสั่งซื้อกล่องแต่ละขนาด ส่งผลให้สามารถต่อรองราคากับผู้ส่งมอบได้ประมาณ 15-25 เปอร์เซ็นต์ การแก้ไขปัญหาในกรณีนี้ จำเป็นต้องมีการจัดกลุ่มมาตรฐานกล่อง อ้างอิงตามขนาดแท่นรองรับสินค้ามาตรฐานขนาด 100 x 120 เซนติเมตร หรือ 110 x 110 เซนติเมตร ซึ่งขนาดที่กำหนดจะสามารถวางเรียงเป็นหน่วยขนส่งได้บนแท่นรองรับสินค้า ส่งผลให้สามารถลดต้นทุนได้ทั้งสิ้น 88,216 บาท หรือคิดเป็น 12 เปอร์เซ็นต์ กรณีที่ 3 การจัดมาตรฐานแท่นรองรับสินค้าตามมาตรฐานแบบหมุนเวียน เพื่อลดต้นทุนการสั่งซื้อแท่นรองรับสินค้า ส่งผลให้ต้นทุนลดลง 254,275 บาท คิดเป็น 86 เปอร์เซ็นต์ และ กรณีที่ 4 การใช้พลาสติกกันกระแทก แทนกระดาษกันกระแทก ในการป้องกันสินค้าแตกหักเสียหาย และยังเป็นการประหยัดเวลาในการออกแบบและสั่งผลิต ทำให้สามารถลดต้นทุนได้ 375,442.59 บาท คิดเป็น 66 เปอร์เซ็นต์รายการ การพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับการจัดการคลังสินค้าแบบ REAL TIME กรณีศึกษา : ธุรกิจชิ้นส่วนรถยนต์(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2561) อัศนีย์ หมอยาการวิจัยนี่มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับการจัดการคลังสินค้าแบบ Real time และนำระบบระบบสารสนเทศฯ ดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ในกรณีศึกษาธุรกิจชิ้นส่วนรถยนต์ โดยปรับปรุงกระบวนการให้ข้อมูลการเติมสินค้า และสามารถแจ้งวันจัดส่งสินค้าให้ลูกค้า จากโรงงานผู้ผลิตไปยังฝ่ายขาย โดยการนำหลักการ ECRS มาช่วยในการวิเคราะห์ลดความสูญเปล่า และการพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับการจัดการคลังสินค้าแบบ Real time จากการศึกษาพบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมาจาก สองสาเหตุคือ ลูกค้าไม่ทราบวันที่จะได้รับสินค้าที่แน่นอน และลูกค้าไม่ทราบแผนการเติมสินค้าในอนาคตเพื่อทำการสั่งซื้อซ้ำ จากการปรับปรุงด้วยเทคนิค ECRS และการพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับการจัดการคลังสินค้าแบบ Real time ที่สามารถรวบรวมข้อมูล จากส่วนงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ แผนการขายรายเดือนรายผลิตภัณฑ์ จำนวนสินค้าจริงคงเหลือรายผลิตภัณฑ์ แผนการเติมเต็มสินค้าจากปัจจุบันถึงสิ้นเดือนหรืออย่างน้อย 15 วัน มาทำการแสดงผลให้กับฝ่ายขายและทุกหน่วยงานให้สามารถดำเนินการกับคำสั่งซื้อของลูกค้า และให้ข้อมูลเกี่ยวกับแผนการเติมสินค้ากับลูกค้าได้ถูกต้องแม่นยำ และน่าเชื่อถือ จากผลการดำเนินการดังกล่าวสามารถลดขั้นตอนการทำงานได้ 3 ขั้นตอน เป็นเวลา 4,410 นาที Iรายการ การศึกษารูปแบบโซ่อุปทานของร้านแว่นตารายย่อย(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2561) อนุกูล แป้นแก้วการศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษารูปแบบโซ่อุปทานของร้านแว่นตารายย่อยโดยใช้ โซ่อุปทานการใช้ระบบของหน่วยงานคนเทคโนโลยีกิจกรรมข้อมูลข่าวสาร และทรัพยากรประยุกต์เข้าด้วยกันเพื่อการเคลื่อนย้ายสินค้าหรือบริการจากผู้จัดหาไปยังลูกค้ากิจกรรมของห่วงโซ่อุปทานจะแปรสภาพทรัพยากรธรรมชาติวัตถุดิบและวัสดุอื่นๆให้กลายเป็นสินค้าสำเร็จแล้วส่งไปจนถึงลูกค้าคนสุดท้าย (ผู้บริโภคหรือ End Customer) ในเชิงปรัชญาของโซ่อุปทานนั้นวัสดุที่ถูกใช้แล้วอาจจะถูกนำกลับมาใช้ใหม่ที่จุดไหนของห่วงโซ่อุปทานก็ได้ถ้าวัสดุนั้นเป็นวัสดุที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ (Recyclable Materials)โซ่อุปทานมีความเกี่ยวข้องกับห่วงโซ่คุณค่าเพื่อตอบสนองความต้องการทางธุรกิจของตนเองและร่วมกันศึกษารูปแบบสิ่งที่แสดงโครงสร้างของความเกี่ยวข้องระหว่างชุดของปัจจัยหรือตัวแปรต่างๆ หรือองค์ประกอบที่สำคัญในเชิงความสัมพันธ์หรือเหตุผลซึ่งกันและกันการจัดการโซ่คุณค่ามีองค์ประกอบสองอย่างที่มีบทบาทที่สำคัญได้แก่การจัดการห่วงโซ่อุปทาน(Supply chain management หรือ SCM) และการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (Customer relationship management หรือ CRM)โดยห่วงโซ่อุปทานจะช่วยในเรื่องต่างๆอาทิเช่นการตัดสินใจว่าทรัพยากรหรือวัตถุดิบใดที่ควรจะสั่งเข้ามาในโซ่คุณค่าสั่งเข้ามาด้วยปริมาณเท่าใดทรัพยากรหรือวัตถุดิบเหล่านั้นจะถูกจัดการหรือบริหารอย่างไรเพื่อแปลงให้เป็นสินค้าหรือบริการได้ตามที่ลูกค้าต้องการและจะส่งสินค้าไปให้ลูกค้าได้อย่างไรมีกำหนดการการส่งเป็นอย่างไรการตรวจติดตามและควบคุมการส่งสินค้ารายการ ารศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจขนส่งสินค้าต่อเนื่องด้วยรถบรรทุกและรถไฟ กรณีศึกษา การขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภคบนเส้นทาง แหลมฉบัง – หนองตะไก้ จังหวัดอุดรธานี(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2561) ธีรวัลย์ ภิญโญวงษ์การศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจขนส่งสินค้าต่อเนื่องด้วยรถบรรทุกและรถไฟ กรณีศึกษา การขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภค บนเส้นทางแหลมฉบัง – หนองตะไก้ จังหวัดอุดรธานีเป็นการสนับสนุนนโยบายการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสู่รูปแบบการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก ใน (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และภัยคุกคาม และประเมินความเป็นไปได้ของธุรกิจขนส่งสินค้าต่อเนื่องด้วยรถบรรทุกและรถไฟ ด้านการตลาด ด้านเทคนิค ด้านการจัดการ และด้านการเงิน ผลการศึกษาพบว่า การพัฒนาธุรกิจขนส่งสินค้าต่อเนื่องด้วยรถบรรทุกและรถไฟ เพื่อส่วนแบ่งทางการตลาดร้อยละ 1.5 ของการขนส่งภายในประเทศ สอดคล้องกับแนวทาง การปรับตัวของผู้ให้บริการขนส่งรายย่อยในการผันไปเป็นผู้ให้บริการรับช่วงขนส่ง (Sub-contractors) โดยรูปแบบธุรกิจที่มีความเป็นไปได้ คือ 1) ผู้ให้บริการขนส่งขยายขอบข่ายการให้บริการเชื่อมโยงการขนส่งด้วยรถไฟ และ 2) ผู้แทนรับจัดการขนส่งสินค้า โดยทำหน้าที่เป็นตัวกลางประสานงานระหว่างผู้เกี่ยวข้องทั้งภาคการผลิต ผู้ให้บริการขนส่งด้วยรถบรรทุก และการรถไฟแห่งประเทศ การปฏิบัติ งานจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ขนถ่ายสินค้าที่สามารถยกขนหรือขนถ่ายสะดวกด้วยโฟล์คลิฟท์ในการขนย้ายระหว่างคลังสินค้ากับรถบรรทุก และรถไฟ ตลอดจนการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการทำงานและการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันภายในกลุ่มผู้ให้บริการขนส่งและการรถไฟแห่งประเทศไทย ภายใต้ข้อจำกัดด้านการบริหารจัดการ เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลทางการเงินและการลงทุนทั้ง 2 รูปแบบ มีระยะเวลาคืนทุน (PB) ใกล้เคียงกันอยู่ที่ประมาณ 4 ปี 11 เดือน มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) มีมูลค่าเท่ากับ - 577,137.92 และ - 954,796.01 และอัตราผลตอบแทนการลงทุน (IRR) อยู่ที่ร้อยละ 2.12 และ 2.03รายการ การพยากรณ์ความต้องการแว่นตา ร้านรักแว่น(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2561) อนุสรณ์ บุญสง่าปัจจุบันธุรกิจร้านแว่นตามีการแข่งขันทางธุรกิจที่สูง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจร้านค้าทั่วไป ที่มีหลากหลายยี่ห้อและหลายรูปแบบ ปัจจัยที่สำคัญของร้านแว่นตา คือการบริหารต้นทุนของสินค้า จึงจำเป็นจะต้องแก้ไขจุดอ่อนของธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน ซึ่งการค้นคว้าอิสระนี้จึงมีวัตถุประสงค์ เพื่อพยากรณ์การสั่งซื้อสินค้าของร้านรักแว่น และหาแนวทางแก้ไขปัญหาสินค้าเคลื่อนไหวช้าและไม่มีการเคลื่อนไหว โดยเก็บรวบรวมข้อมูลตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2558 จนถึง เดือนธันวาคม พ.ศ. 2559 และนำข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์เปรียบเทียบวิธีหาค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ วิธีหาค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงน้ำหนัก วิธีปรับเรียบแบบเอ็กซ์โพเนนเชียลแบบง่าย การวิเคราะห์สมการถดถอย การพยากรณ์นาอีฟ และวิธีแยกส่วนประกอบ เพื่อหาตัวแบบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการพยากรณ์และคำนวณหายอดสั่งซื้อแว่นสายตาที่ใกล้เคียงกับความต้องการจริง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้พบว่า การพยากรณ์วิธีแยกส่วนประกอบได้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงมากกว่าการพยากรณ์รูปแบบอื่น โดยมีค่า MAD , MSE และ MAPE ต่ำสุด คือ Rayban เท่ากับร้อยละ 1.34, 2.34 และ 52.63 ตามลำดับ LEVI’S เท่ากับร้อยละ 2.15, 6.20 และ 33.70 ตามลำดับ และ Frank Custom เท่ากับร้อยละ 4.40, 27.47 และ 25.85 ตามลำดับ นอกจากการพยากรณ์ด้วยวิธีแยกส่วนประกอบ จะเหมาะสมกับการพยากรณ์ยอดขายยังสามารถใช้ในการวางแผนการบริหารสินค้าคงคลังในธุรกิจร้านแว่น รวมถึงธุรกิจค้าปลีกอื่นๆ เช่นกันรายการ แนวทางลดการสูญหายของวัตถุดิบในคลังสินค้า กรณีศึกษา: บริษัท ABC อิเล็กทรอนิกส์(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2561) เทพกมล ศรีระพรหมการค้นคว้าอิสระเรื่อง แนวทางลดการสูญหายของวัตถุดิบในคลังสินค้า กรณีศึกษา: บริษัท ABC อิเล็กทรอนิกส์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์หาสาเหตุที่ทาให้เกิดการสูญหายของวัตถุดิบในคลังสินค้า และศึกษาแนวทางการนาเทคโนโลยี RFID มาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการวัตถุดิบคงคลัง โดยใช้แผนผังสาเหตุและผล (Cause and Effect Diagram) วิเคราะห์สาเหตุที่มีความเป็นไปได้ในการเกิดการสูญหายของวัตถุดิบในคลังสินค้า คิดเป็นมูลค่าเฉลี่ยสูงถึง 58,082 บาทต่อเดือนรายการ การเพิ่มประสิทธิภาพของโซ่อุปทานสถานศึกษาเอกชนด้วยการจัดการความรู้ กรณีศึกษา : วิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน มหาวิทยาลัยศรีปทุม(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2561) สุวิชา สวัสดีการศึกษาวิจัยเรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพของโซ่อุปทานสถานศึกษาเอกชนด้วยการจัดการความรู้ กรณีศึกษา วิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน มหาวิทยาลัยศรีปทุมวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาโซ่อุปทานของสถานการศึกษา กรณีศึกษา วิทยาลัยโลจิสติกส์และ ซัพพลายเชน มหาวิทยาลัยศรีปทุม 2. เพื่อศึกษารูปแบบการจัดการความรู้ในการเพิ่มประสิทธิภาพโซ่อุปทานของสถานการศึกษาเอกชนด้วยการจัดการความรู้ กรณีศึกษา วิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน มหาวิทยาลัยศรีปทุม ในการวิจัยนี้ใช้ผู้วิจัยเลือกใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ศึกษาจากเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และนำมาวิเคราะห์ จากนั้นตรวจสอบคุณภาพรูปแบบการจัดการความรู้โดยผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อปรับปรุงรูปแบบให้มีความเหมาะสมรายการ การหาทำเลที่ตั้งคลังสินค้า กรณีศึกษา : ธุรกิจนำเข้าวัตถุดิบอาหาร(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2561) พนารัตน์ เหล่าพงศ์เจริญการค้นคว้าอิสระฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกทำเลที่ตั้งคลังสินค้า และ เพื่อเลือกทำเลที่ตั้งคลังสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้รวดเร็วขึ้น โดยใช้วิธีวิเคราะห์จุดศูนย์กลางแรงโน้มถ่วง (Center of Gravity Method) เพื่อหาทำเลที่เหมาะสม จุดที่หาได้ซึ่งสามารถระบุตำแหน่งได้ที่ 146/26 บางแวก แขวงบางไพร เขตบางแค กรุงเทพมหานคร 10160 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ไม่มีคลังสินค้าให้เช่า หรือ ไม่มีระบบโครงสร้างพื้นฐานใด ๆ เลย จึงได้ทำการขยายขอบเขตของการหาพื้นที่ออกไปในรัศมี 30 กิโลเมตร จากนั้นใช้วิธีประเมินระดับความสำคัญของปัจจัย (Factor Rating Method) กำหนดตัวแปรที่มีความสำคัญต่อการตัดสินใจจากการสัมภาษณ์ผู้มีส่วนได้เสียแล้ว สามารถสรุปปัจจัยและ น้ำหนักที่จะนำมาพิจารณาเลือกทำเลที่ตั้งคลังสินค้าของบริษัทกรณีศึกษาได้ดังนี้ 1.ต้นทุนค่าขนส่ง 18% 2.โครงสร้างพื้นฐาน/ สภาพแวดล้อม 18% 3.ต้นทุนการดำเนินการ 17% 4.ต้นทุนด้านคลังสินค้า 16% 5.ภูมิศาสตร์/ การเข้าถึงลูกค้า 16% 6.การดำเนินธุรกิจ/ กฏระเบียบ 15% ใส่คะแนนให้ปัจจัยต่าง ๆ ในแต่ละสถานที่ตั้ง คำนวนค่าคะแนนกับค่าน้ำหนักของแต่ละปัจจัย แล้วรวมคะแนนทั้งหมดของแต่ละทางเลือก โดยคลังที่ได้คะแนนสูงที่สุด คือ บริษัท ทรัพย์ศรีไทย จำกัด (มหาชน)รายการ A MODEL FOR COMPETITIVE SERVICE LEVEL OF LOGISTICS SERVICE PROVIDERS IN THAILAND - VIETNAM – CHINA(SRIPATUM UNIVERSITY, 2561) PISOOT THANKDENCHAIThe objectives of this research were to develop a casual relationship model for competitive service level of logistics service providers in international transportation to investigate the direct and indirect effects in international transport logistics of Thais, Vietnamese and Chinese service providers. Samples were 509 logistics service providers, of which were 159 were from Thailand, 157 were from Vietnam, and 193 were from China, using purposive sample selection method. Research instrument was a questionnaire. Data were analyzed by descriptive statistics and Structural Equation Modeling (SEM), using Lisrel version 8.80. Findings were the causal relationship model was fit to empirical data with the Chi-square (X2) = 72.75, df = 62, p = 0.165, GFI = 0.98 AGFI = 0.97, RMSEA = 0.018. The direct effects showed that the competitive Service Level (SVL) was affected by Dominant Power on selection (DOM) with coefficient value at 0.37, and also from Service Performance Unit (SPU) as 0.36. The competitive Service Level (SVL) was also affected indirectly by Dominant Power on selection (DOM) at 0.11, followed by Strategic Sourcing Technique (SST) at 0.09 respectively. Moreover, the observed variables valued the reliability in between 0.54 – 0.94. The highest reliability was factors: Cost and Flexibility (Z1, Z3) which were equally at 0.94. For the lowest reliability value was: Risk avoidance (Y4) valued at 0.54. For implementation and further research recommended to modify the degree of observed variable in Service Performance Units (SPU) which may significant differently in a different policy and local cultures in different countries.รายการ การวางผังคลังสินค้าห้องเย็น กรณีศึกษา ห้องเย็น ส.ทรัพย์สมุทร(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2561) อนิรุต ทรัพย์สุคนธ์ปัจจุบันธุรกิจห้องเย็นขายปลาทะเลแช่แข็งมีการแข่งขันสูง จึงต้องมีวิธีการจัดการคลังสินค้าที่มีประสิทธิภาพมาช่วย ปัจจัยที่สำคัญของห้องเย็น ส.ทรัพย์สมุทร คือ การลดความผิดพลาดในการหยิบสินค้า โดยการจัดวางผังสินค้าห้องเย็นใหม่ เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของธุรกิจให้เพิ่มประสิทธิภาพให้กับตัวธุรกิจ จากการศึกษาค้นคว้านี้ มีวัตถุประสงค์หลัก คือ ลดข้อผิดพลาดในการหยิบสินค้าผิดและวางแผนการจัดการเรียงสินค้าในคลังให้มีประสิทธิภาพโดยลดเวลาและระยะทางลง จึงได้นำเทคนิคการจัดเรียงสินค้าแบบ ABC (ABC ANALYSIS) เข้ามาช่วย อีกทั้งยังดึงวิธีการ First In First Out: FIFO มาช่วยจัดการเพื่อให้สินค้าที่มีอยู่ในห้องเย็น ที่เข้ามาก่อน ออกก่อน ป้องกันของเสียที่เกิดจากการเก็บสินค้าไว้นาน วิธี ABC เหมาะสมที่จะนำมาใช้เพราะ สินค้าไหนที่มียอดขายที่สูงจะต้องอยู่ใกล้กับทางเข้า เพื่อสามารถหยิบได้สะดวก ลดระยะเวลาในการเดินหยิบสินค้าเพราะ เป็นสินค้าที่มีการเคลื่อนย้ายบ่อย ทำให้สามารถลดระยะเวลาในการเดินหยิบสินค้าลงได้ครึ่งหนึ่งรายการ ปัจจัยที่มีเหตุ และผลของความร่วมมือในโซ่อุปทานที่มีต่อผลการดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ธุรกิจนำเที่ยวในประเทศไทย(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2561) ลดาวรรณ สว่างอารมณ์งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยเหตุและผลของความร่วมมือในโซ่อุปทานที่มีต่อผลการดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ของธุรกิจนำเที่ยวในประเทศไทย รวมถึงการยืนยันรูปแบบปัจจัยเหตุและผลเพื่อนำเสนอแนวทางการนำไปประยุกต์ใช้จริงในธุรกิจนำเที่ยว เครื่องมืองานวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม การสนทนากลุ่ม และการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน จากสถานประกอบการจำนวน 400 แห่ง และใช้สถิติในการวิเคราะห์ความแปรปรวนพหุนามทางเดียวเพื่อตรวจสอบความตรงของรูปแบบด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสังคมศาสตร์ และการวิเคราะห์สมการเชิงโครงสร้าง ผลการศึกษาพบว่าความร่วมมือในโซ่อุปทาน มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานธุรกิจ และมีอิทธิพลทางอ้อมต่อความผูกพันต่อองค์การ และความไว้วางใจในองค์การ ส่วนความไว้วางใจในองค์การมีอิทธิพลทางตรง และทางอ้อมเป็นเชิงบวกต่อผลการดำเนินด้านโลจิสติกส์รายการ การลดปัญหาสินค้าขาดมือด้วยเทคนิคการวางแผนการพยากรณ์และเติมเต็มสินค้าร่วมกัน กรณีศึกษา บริษัทนำเข้าและส่งออกอุปกรณ์ลำเลียงสินค้าอากาศยาน(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2561) ปณิดา เรือนนิลการลดปัญหาสินค้าขาดมือด้วยเทคนิคการวางแผนการพยากรณ์ และการเติมเต็มสินค้าร่วมกันของบริษัทกรณีศึกษา บริษัทนำเข้าและส่งออกอุปกรณ์ขนถ่ายสินค้าอากาศยานนั้น เป็นการศึกษาและนำเทคนิคดังกล่าวมาใช้เพื่อลดปัญหาสินค้าขาดมือ และเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการพยากรณ์ความต้องการสินค้าล่วงหน้า ให้มีแนวทางเพื่อสร้างความสัมพันธ์ร่วมกันระหว่างบริษัทและซัพพลายเออร์ ทำให้เพิ่มขีดความสามารถให้กับบริษัทสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้น จากการศึกษา ได้ใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลการสั่งซื้อของลูกค้า เพื่อมาคำนวนหาค่าพยากรณ์ปริมาณการสั่งซื้อ โดยใช้การคำนวนโดยวิธีการหาค่าเฉลี่ยแบบ Moving Average และทำการเพิ่มค่า Safety Stock จำนวน 15% เพื่อนำค่าปริมาณการสั่งซื้อที่ได้นั้น นำมาใช้ในการวางแผน การพยากรณ์ และการเติมเต็มสินค้าร่วมกัน เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการแบ่งปันข้อมูลต่างๆร่วมกัน ทำให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด และทำให้เกิดการวางแผนการสั่งซื้อสินค้ามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ลดค่าเสียโอกาสในการขายสินค้า และในส่วนของลูกค้านั้น ทำให้บริษัทสามารถจัดส่งสินค้าได้ทันตามเวลา ทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นในบริษัทมากขึ้น และสามารถขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้นในอนาคตรายการ แนวทางการลดพลังงานน้ำมันเชื้อเพลิงในการขนส่งสินค้า กรณีศึกษา : ห้างหุ้นส่วนจำกัด โชคฐิติพงศ์ ขนส่ง(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2561) ฐิติกร ชมขุนทดเนื่องจากห้างหุ้นส่วนจำกัด โชคฐิติพงศ์ ขนส่ง มีสัดส่วนการใช้พลังงานขนส่งที่สูง และยังขาดกลไกการส่งเสริมการจัดการพลังงานและประหยัดเชื้อเพลิงอย่างต่อเนื่อง ห้างหุ้นส่วนจำกัดฯ ต้องมีการจัดการพลังงานและประหยัดเชื้อเพลิงเพื่อมีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพโดยจัด "การจัดทำระบบบริหารจัดการพลังงานในภาคขนส่ง" ขึ้น โดยอาศัยแนวทางการส่งเสริมโครงการสาธิตระบบบริหารจัดการพลังงานในภาคขนส่ง (Logistic and Transport Management ; LTM) โดยมีวัตถุประสงค์ของการศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของห้างหุ้นส่วนฯ กรณีศึกษา และเพื่อเสนอแนวทางการแก้ไขและป้องกัน ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับลดการใช้เชื้อเพลิงในด้านการขนส่ง ของห้างหุ้นส่วนจำกัด โชคฐิติพงศ์ ขนส่งระบบบริหารจัดการพลังงานในภาคขนส่งสามารถนำไปปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้ โดยกำหนดให้มี อัตราสิ้นเปลืองพลังงานเชื้อเพลิง เพิ่มขึ้น 10 % โดยอาศัย ทฤษฎี ด้านวิศวกรรม และเทคโนโลยี , ด้านการบริหารจัดการ , ด้านวิธีการขับรถ , ด้านการสร้างทีมงาน และใช้มาตรการดังนี้ การอบรมพัฒนาการขับขี่ , การควบคุมลมดันยางให้เหมาะสม , การใส่สารหัวเชื้อน้ามันเชื้อเพลิง , การควบคุมการขับขี่อยู่ในช่วง 60-80 กม./ชม. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย Program Excel ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อใช้ในการวิจัย เพื่อนำมาวิเคราะห์ข้อมูลและทำการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพ ส่งผลให้สามารถประหยัดเชื้อเพลิงและมีค่าดัชนี ลิตร/กม. ที่ดีขึ้น ซึ่งประสิทธิภาพการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.22 % ซึ่งมากกว่าค่าเป้าหมาย 4.22 %รายการ การศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจขนส่งสินค้าต่อเนื่องด้วยรถบรรทุกและรถไฟ กรณีศึกษา การขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภคบนเส้นทาง แหลมฉบัง – หนองตะไก้ จังหวัดอุดรธานี(มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2561) ธีรวัลย์ ภิญโญวงษ์การศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจขนส่งสินค้าต่อเนื่องด้วยรถบรรทุกและรถไฟ กรณีศึกษา การขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภค บนเส้นทางแหลมฉบัง – หนองตะไก้ จังหวัดอุดรธานีเป็นการสนับสนุนนโยบายการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสู่รูปแบบการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก ใน (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และภัยคุกคาม และประเมินความเป็นไปได้ของธุรกิจขนส่งสินค้าต่อเนื่องด้วยรถบรรทุกและรถไฟ ด้านการตลาด ด้านเทคนิค ด้านการจัดการ และด้านการเงิน ผลการศึกษาพบว่า การพัฒนาธุรกิจขนส่งสินค้าต่อเนื่องด้วยรถบรรทุกและรถไฟ เพื่อส่วนแบ่งทางการตลาดร้อยละ 1.5 ของการขนส่งภายในประเทศ สอดคล้องกับแนวทาง การปรับตัวของผู้ให้บริการขนส่งรายย่อยในการผันไปเป็นผู้ให้บริการรับช่วงขนส่ง (Sub-contractors) โดยรูปแบบธุรกิจที่มีความเป็นไปได้ คือ 1) ผู้ให้บริการขนส่งขยายขอบข่ายการให้บริการเชื่อมโยงการขนส่งด้วยรถไฟ และ 2) ผู้แทนรับจัดการขนส่งสินค้า โดยทำหน้าที่เป็นตัวกลางประสานงานระหว่างผู้เกี่ยวข้องทั้งภาคการผลิต ผู้ให้บริการขนส่งด้วยรถบรรทุก และการรถไฟแห่งประเทศ การปฏิบัติ งานจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ขนถ่ายสินค้าที่สามารถยกขนหรือขนถ่ายสะดวกด้วยโฟล์คลิฟท์ในการขนย้ายระหว่างคลังสินค้ากับรถบรรทุก และรถไฟ ตลอดจนการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการทำงานและการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันภายในกลุ่มผู้ให้บริการขนส่งและการรถไฟแห่งประเทศไทย ภายใต้ข้อจำกัดด้านการบริหารจัดการ เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลทางการเงินและการลงทุนทั้ง 2 รูปแบบ มีระยะเวลาคืนทุน (PB) ใกล้เคียงกันอยู่ที่ประมาณ 4 ปี 11 เดือน มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) มีมูลค่าเท่ากับ - 577,137.92 และ - 954,796.01 และอัตราผลตอบแทนการลงทุน (IRR) อยู่ที่ร้อยละ 2.12 และ 2.03