มาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครอง สิทธิมนุษยชนตามพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2551

กำลังโหลด...
รูปภาพขนาดย่อ

วันที่

2562-02-07

ชื่อวารสาร

วารสาร ISSN

ชื่อหนังสือ

สำนักพิมพ์

เชิงนามธรรม

วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะทำการศึกษาความเป็นมาและความสำคัญ ของปัญหาเกี่ยวกับมาตรการในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนตามพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2551 โดยทำการศึกษาประวัติความมาและวัตถุประสงค์ของกฎหมายการส่งผู้ร้ายข้ามแดน กฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยได้ไปลงนามและให้สัตยาบันไว้แล้ว สนธิสัญญาแม่แบบว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนขององค์การสหประชาชาติ เพื่อเป็นแนวทาง ในการแก้ไขปรับปรุงและพัฒนากฎหมายการส่งผู้ร้ายข้ามแดนของไทยให้มีประสิทธิภาพในการคุ้มครอง สิทธิมนุษยชนมากยิ่งขึ้น ผลจากการศึกษาพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2551 พบว่ายังไม่ได้มีการบัญญัติบทบัญญัติเกี่ยวกับเหตุปฏิเสธในการส่งกลับผู้ร้ายข้ามแดนในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อว่าบุคคลนั้น จะตกอยู่ภายใต้อันตรายที่จะถูกทรมาน ส่งผลให้ไม่สอดคล้องกับอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี ค.ศ.1984 และสนธิสัญญาแม่แบบว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนขององค์การสหประชาชาติ และเหตุปฏิเสธในการส่งกลับผู้ร้ายข้ามแดนในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อว่าคำร้องขอให้ส่งตัวบุคคลนั้นเกิดจากการไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุของเชื้อชาติ สัญชาติ หรือเพศ ส่งผลให้ไม่สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยการขจัด การเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติทุกรูปแบบ ค.ศ.1965 และอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติ ต่อสตรีในทุกรูปแบบ ค.ศ.1979 ที่ประเทศไทยได้ไปลงนามและให้สัตยาบันไว้ และสนธิสัญญาแม่แบบว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนขององค์การสหประชาชาติ รวมถึงการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่บางครั้งมีการนำกฎหมายฉบับอื่นมาบังคับใช้ เช่น พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ส่งผลให้เกิดความไม่ชัดเจนในการปฏิบตั ิงานของเจ้าหน้าที่ จากการศึกษาผู้ศึกษามีข้อเสนอแนะ ดังนี้ ควรปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2551 ตามความใน มาตรา 9 จากข้อความเดิมโดยเพิ่มเติมข้อความดังใหม่ต่อไปนี้ “กรณีเป็นความผิดที่จะส่งผู้ร้าย ข้ามแดนได้และไม่ปรากฏเหตุอันควรเชื่อว่าบุคคลนั้นจะตกอยู่ภายใต้อันตรายที่จะถูกทรมาน” และ “กรณีเป็นความผิดที่จะส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้และไม่ปรากฏเหตุอันควรเชื่อได้ว่าคำร้องขอมีเจตนา ที่จะฟ้องร้องดำเนินคดีหรือลงโทษบุคคลใดบุคคลหนึ่งด้วยสาเหตุทางเชื้อชาติ ศาสนา สัญชาติ กำเนิดเผ่าพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง เพศหรือสถานะของบุคคล หรือสถานะของบุคคลนั้น อาจได้รับความกระทบกระเทือนเนื่องจากสาเหตุดังกล่าว” ในอนุมาตราย่อยของมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2551 รวมถึงปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ การคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ตามความในมาตรา 54 จากข้อความเดิมโดยเพิ่มเติมข้อความใหม่ ดังต่อไปนี้ “ถ้ามีกรณีต้องสงสัยว่ามีเหตุอันควรเชื่อว่าบุคคลนั้นจะตกอยู่ภายใต้อันตราย ที่จะถูกทรมานหรือถูกกระทำการอื่นใดเนื่องจากการเลือกปฏิบัติไม่ว่าจะด้วยสาเหตุทางเชื้อชาติ ศาสนา สัญชาติ กำเนิดเผ่าพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง เพศหรือสถานะของบุคคล หรือสถานะ ของบุคคลนั้นอาจได้รับความกระทบกระเทือนเนื่องจากสาเหตุดังกล่าว อาจปฏิเสธการส่งตัวผู้นั้น ออกไปนอกราชอาณาจักรได้” ในมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ .ศ.2522 เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยได้ไปลงนามและ ให้สัตยาบันไว้แล้วและสนธิสัญญาแม่แบบว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนขององค์การสหประชาชาติ

คำอธิบาย

นิติศาสตร์มหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี

คำหลัก

สิทธิมนุษยชน, การส่งผู้ร้ายข้ามแดน, กระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดน

การอ้างอิง