ARC-03. บทความวิชาการ/วิจัย (อื่นๆ)

URI ถาวรสำหรับคอลเล็กชันนี้

เรียกดู

การส่งล่าสุด

ตอนนี้กำลังแสดง1 - 20 ของ 55
  • รายการ
    การศึกษามาตรฐานความปลอดภัยด้านอัคคีภัย เพื่อการรับรองมาตรฐานระดับสากล กรณีศึกษา โรงพยาบาลเอกชนในอาคารสูง
    (2556-05-30T17:07:10Z) เสริมสกุล ศรีน้อย
    อาคารกรณีศึกษา จัดเป็นอาคารสูง และอาคารขนาดใหญ่พิเศษประเภทโรงพยาบาล ตามกฎกระทรวง ฉบับที่33 ( พ.ศ. 2535 ) ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชน ปัจจุบันมีเตียงรองรับผู้ป่วย 350 เตียง มีห้องตรวจกว่า 70 ห้อง สามารถให้การบริการ ผู้ป่วยนอกวันละ 1,500-2,000 คน ด้วยศูนย์บริการทางการแพทย์เฉพาะทางครบทุกสาขา แพทย์ประจํา 50 ท่าน, แพทย์ที่ปรึกษา 250 ท่าน อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่สําคัญ และยังได้รับการรับรองคุณภาพ มาตรฐาน ISO 9001:2000 ซึ่งทางโรงพยาบาลมีแนวทางบริการ ด้วยความตั้งใจจริงที่ต้องการให้คนไทยมีสุขภาพที่ดี และมีทางเลือกในการดูแลรักษาพยาบาลตนเองมากขึ้น จึงนํามาตรฐานระดับสากลที่ยอมรับกันทั่วไป คือ มาตรฐานการรับรอง Joint Commission International (JCI) สําหรับโรงพยาบาล เป็นการยกระดับและขีดความสามารถในการให้บริการแก่ผู้ป่วยและผู้ใช้อาคาร อาคารกรณีศึกษา จึงนํามาตรฐานการรับรอง Joint Commission International (JCI) สําหรับโรงพยาบาล ซึ่งเป็นส่วนงานหนึ่งของ Joint Commission Resources, Inc. โดยพันธะกิจของ JCI คือการยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยการดูแลผู้ป่วยในชุมชนนานาชาติด้วยการให้การศึกษา สิ่งพิมพ์ คําปรึกษา และการประเมินผล โปรแกรมการศึกษาและสิ่งพิมพ์ของ Joint Commission Resources Inc. ที่ให้การสนับสนุนกิจกรรมรับรองคุณภาพของ Joint Commission International แต่แยกเป็นอิสระออกจากกัน ดังนั้นเพื่อเป็นการเพิ่มความปลอดภัยและคุณภาพของการดูแลผู้ป่วยในระดับมาตรฐานสากล ซึ่งมาตรฐานการรับรองฯ ประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลัก คือ ส่วนที่ 1. มาตรฐานด้านผู้ป่วย (Patient-Centered Standards) ส่วนที่ 2. มาตรฐานด้านการจัดการองค์กร (Healthcare Management Standards) โดยที่ในส่วนที่ 2. เรื่องมาตรฐานการจัดการสิ่งอํานวยความสะดวกและความปลอดภัย (Facility Management and Safet ) หัวข้อ ความปลอดภัยด้านอัคคีภัย จึงให้ความสําคัญในการศึกษาครั้งนี้เพราะ อัคคีภัยเป็นสาธารณภัยที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างสูง และสร้างมูลค่าความเสียหายส่งผลสําคัญต่อความสูญเสียในระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาคารประเภทโรงพยาบาล ที่ถือว่าเป็นสถานที่ที่ให้การดูแลรักษาชีวิตของประชาชน ผู้ทําการศึกษาจึงเล็งเห็นถึงความจําเป็นและสําคัญในการที่จัดทําการศึกษามาตรฐานความปล อดภัยด้านอัคคีภัยระดับสากลที่ทั่วไปให้การยอมรับ ของสมาคม National Fire Protection Association, USA ( NFPA ) เพื่อเป็นการประเมินระบบความปลอดภัยด้านอัคคีภัยเบื้องต้น ซึ่งจัดว่าเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารทรัพยากรอาคารและเป็นพื้นฐานในด้านความปลอดภัยของผู้ใช้ อาคารกรณีศึกษานี้จะเป็นแนวทางการศึกษาเบื้องต้นที่สรุปตามเกณฑ์มาตรฐานของ NFPA ระบบความปลอดภัยด้านอัคคีภัยในอาคาร ซึ่งทําให้ทราบถึงข้อบกพร่องของระบบความปลอดภัยด้านอัคคีภัยที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งนําไปสู่การแก้ไข ตามมาตรฐานสากล
  • รายการ
    การปรับเปลี่ยนกระบวนการในหน่วยงานซักรีด กรณีศึกษา โรงพยาบาลเอกชน 18 ชั้น แห่งหนึ่ง ในจังหวัดนนทบุรี
    (2556-05-30T17:04:40Z) สามารถ เจนชัยจิตรวนิช
    การค้นคว้าอิสระนี้เป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนการและเพิ่มประสิทธิภาพในหน่วยงานซั กรีด ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ในจังหวัดนนทบุรี ซึ่งจากการศึกษาในการบริหารอาคารการปรับเปลี่ยนกระบวนการจะสามารถเพิ่มผลผลิตของหน่วย งานได้ โดยเป็นวิธีการที่ทําได้โดยไม่ต้องลงทุน ซึ่งการเพิ่มผลผลิต สามารถทําได้หลายวิธี จากการศึกษาจะเห็นได้ว่า พลังงานที่ใช้ในโรงพยาบาลในประเทศไทยมีอัตราการใช้พลังงานสูงกว่าถ้าเทียบกับสถานประกอบก ารอื่นๆ ดังนั้นถ้าการปรับเปลี่ยนกระบวนสามารถ เพิ่มผลผลิตได้ สามารถลดต้นทุนการใช้พลังงานลงได้ ก็หมายความว่าสามารถเพิ่มผลกําไรให้กับเจ้าของธุรกิจ หรือ เจ้าของอาคารได้ หน่วยงานซักรีดในโรงพยาบาลถือเป็นหน่วยงานหนึ่งที่ใช้พลังงานสูง และ มีค่าใช้จ่ายในด้านพลังงานมากมาย ซึ่งถือเป็นต้นทุนในด้านการบริการในโรงพยาบาล เพราะหน่วยงานซักรีดในโรงพยาบาลนั้นทําหน้าที่บริการด้านการซักผ้า และ รีดผ้าให้กับบุคลากร และ ผู้ป่วยในโรงพยาบาลดังนั้นถือว่าเป็นหน่วยงานสําคัญหน่วยงานหนึ่งในโรงพยาบาลเพราะถ้าหน่วยง านซักรีดไม่สามารถซักผ้าและรีดผ้าได้ตามความต้องการของโรงพยาบาลก็จะทําให้โรงพยาบาลนั้นสู ญเสียในหลายด้านไม่ว่าจะเป็นด้านความพึงพอใจของบุคลากร และ ผู้ใช้บริการเอง ด้านการเงินเอง เพราะถ้าไม่สามารถผลิตผ้าได้ออกมาตามความต้องการได้ก็จะทําให้สูญเสียรายได้ เพราะไม่สามารถรับผู้ป่วยเพิ่มได้ หรือ ไม่บางครั้งอาจจะต้องมีการสํารอง เสื้อผ้า ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว เพิ่มขึ้นเพื่อให้เพียงพอกับอัตราการมาใช้บริการของผู้ป่วยและบุคลากร การปรับเปลี่ยนกระบวนการในหน่วยงานซักรีดจะเห็นได้ว่า จะต้องหาปัญหาที่เกิดขึ้นที่อะไรที่เป็นอุปสรรคในการทํางาน จากการเข้าไปศึกษาและทําการทดลอง จะเห็นได้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นคือการทํางานของแผนกไม่สอดคล้องและไม่สัมพันธ์กัน และมีตัวอุปกรณ์บางตัวที่เป็นปัญหา หรือ ชํารุด ต้องมีการปรับปรุงให้ดีขึ้น เพื่อให้เครื่องจักรทํางานได้เต็มประสิทธิภาพ รวมถึงการไปเข้าไปออกแบบ ตารางจดบันทึกข้อมูลเพื่อที่จะทําให้การจดบันทึกสามารถนําข้อมูลมาวิเคราะห์ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นได้ พร้อมกับเข้าไปทําให้สภาพแวดล้อมของการทํางานอยู่ในสภาพที่ดีเพื่อเพิ่มศักยภาพของคนให้ทํางานให้ได้เต็มประสิทธิภาพ จากการทดลองและปรับเปลี่ยนกระบวนการในหน่วยงานซักรีดนั้นเราได้เข้าไปปรับเปลี่ย นโดยทํา 4 มาตรการ เพื่อเพิ่มผลผลิต และ ลดต้นทุนการผลิตของแผนก และ เพิ่มขวัญกําลังใจให้กับบุคลากรในหน่วยงาน ซึ่งทําให้กลายเป็นองค์ความรู้ใหม่ให้กับองค์กรในโรงพยาบาล โดยหน่วยงานซักรีดได้เป็นต้นแบบในการที่ให้หน่วยงานอื่นในโรงพยาบาลเข้ามาศึกษาและนําไปปฏิบัติตาม ในส่วนสุดท้าย ได้นําในการเสนอแนวทางแก้ไขปรับปรุงนั้น ได้คํานึงถึงการที่จะพัฒนาหน่วยงานซักรีดให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด และ เป็นการต่อยอดองค์ความรู้ใหม่ให้กับหน่วยงานซักรีดอื่นที่จะนําไปค้นคว้าหรือศึกษาต่อ เพื่อให้เกิดการประหยัดและเพิ่มผลผลิตอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
  • รายการ
    ศึกษาระดับความเครียดของผู้ใช้อาคารสํานักงานที่ปฏิบัติงานอยู่ในบริเวณ ที่มีความเข้มของแสงที่แตกต่างกัน กรณีศึกษาอาคารอีเทอร์นิตี้
    (2556-05-30T17:01:00Z) ยิ่งยศ สียางนอก
    การศึกษาความแตกต่างของระดับความเครียดของผู้ใช้อาคารสํานักงานที่ได้รับความเข้มแสงต่างกัน ซึ่งผู้ศึกษามีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่งเพื่อนําข้อมูลไปเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาหรือลดภาวะความตึงเครียดให้กั บผู้ใช้อาคารสํานักงานซึ่งผู้ศึกษาได้เลือกอาคารสํานักงานอีเทอร์นิตี้ ในการศึกษาเรื่องนี้ การเก็บข้อมูลผู้ศึกษาใช้กลุ่มประชากรจากผู้ใช้อาคารสํานักงานอีเทอร์นิตี้ ซึ่งมีกลุ่มประชากร ทั้งหมด135คนทําการเก็บกลุ่มตัวอย่าง100คนและมีการเก็บข้อมูลความเข้มของแสงใน บริเวณสถานที่ทํางานทุกแผนกทั้ง 3 ชั้นโดยมีการเก็บทั้งหมด 30 ครั้งของแต่ละจุด ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่อยู่ในแผนกการตลาด มีระดับความเข้มแสงเฉลี่ย 203.9 lux. ระดับความเครียดเฉลี่ย 3.82 แผนกคืนทุนมีระดับความเข้มแสงเฉลี่ย 208.43 ระดับความเครียดเฉลี่ย 3.70 แผนกรับส่งเอกสารมีระดับความเข้มแสงเฉลี่ย 205.33 lux. ระดับความเครียด เฉลี่ย 3.68 ซึ่งเป็น3 แผนกที่มีความเข้มแสงต่ําที่สุดและมีระดับความเครียดอยู่ในระดับสูงและแผนกบัญชีมีระดับ ความเข้มแสงเฉลี่ย 703.47 lux. ระดับความเครียด 3.77 แผนกการเงินมีระดับความเข้มแสงเฉลี่ย 726.27 lux.ระดับความเครียด 3.71ซึ่งเป็น 2 แผนกที่มีระดับความเข้มแสงสูงสุดและมีระดับความเครียดอยู่ใน ระดับสูง
  • รายการ
    การประเมินความปลอดภัยด้านอัคคีภัยในอาคาร กรณีศึกษา อาคารบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จํากัด
    (2556-05-30T16:58:40Z) ไพโรจน์ บุญยิ่ง
    การศึกษาเรื่อง การประเมินความปลอดภัยด้านอัคคีภัย ในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเลือก อาคารบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จํากัด เป็นกรณีศึกษา ซึ่งอาคารดังกล่าวเป็นอาคารสํานักงาน สูง17ชั้น(ไม่รวมชั้นใต้ดินและดาดฟ้า)โครงสร้างอาคารเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก มีพื้นที่ใช้สอย25,185 ตาราง เมตร เปิดใช้งานวันที่ 28 กันยายน 2530 เป็นอาคารที่ก่อสร้างก่อนกฎกระทรวงฉบับที่ 33 (พ.ศ.2535) จะมี ผลบังคับใช้ ซึ่งเป็นกฎหมายควบคุมอาคารที่มีการกําหนดให้อาคารสูงและอาคารขนาดใหญ่พิเศษ ต้องจัดให้มี ระบบป้องกันอัคคีภัยตามที่กฎหมายกําหนด วัตถุประสงค์ในการศึกษาครั้งนี้เพื่อประเมินความปลอดภัยด้านอัคคีภัย ศึกษาถึงปัจจัยต่างๆ ที่มีผล ต่อระดับความปลอดภัยด้านอัคคีภัย รวมถึงข้อบกพร่องในการป้องกันอัคคีภัยของอาคารบริษัทบริหารสิน ทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จํากัด เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขและปรับปรุง ข้อบกพร่องที่พบ และเพิ่มระดับ ความปลอดภัยด้านอัคคีภัยของอาคารบริษัท บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จํากัด ให้สูงขึ้นผู้ศึกษาได้จัด ทําแบบประเมินเป็นแบบ Check-list ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 33 (พ.ศ.2535) เป็นเกณฑ์การประเมินเบื้องต้น ดําเนินการเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ และการเดินสํารวจพื้นที่ต่างๆ ภายในอาคาร ผลการศึกษาจากการสํารวจและประเมินความปลอดภัยด้านอัคคีภัยของอาคารบริษัทบริหารสิน ทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จํากัด ตามข้อกําหนดที่ระบุในกฎกระทรวงฉบับที่ 33 (พ.ศ.2535) ยังถือว่าอาคารยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัยได้ โดยไม่ผ่านการตรวจประเมินรวม 13 รายการ จากรายการที่ทําการตรวจ ประเมินทั้งหมด45รายการโดยที่ผ่านเป็นไปตามข้อกําหนดรวม 32รายการ
  • รายการ
    การศึกษาแนวทางการบริหารจัดการการคัดแยกขยะเพื่อเพิ่มปริมาณขยะถุงพลาสติกกรณีศึกษา โรงกําจัดขยะ จังหวัด สมุทรสาคร
    (2556-05-30T16:56:16Z) ปรัชนีย์ สถานสถิต
    ปัจจุบันปัญหาขยะมูลฝอยนับเป็นปัญหาที่สําคัญ ที่ควรได้รับการแก้ไขจัดการอย่างถูกวิธี ซึ่งนับวัน จะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นโรงงานกําจัดขยะมูลฝอยแห่งนี้มีพื้นท่ีประมาณ97 ไร่ปัจจุบันมีขยะที่มาทิ้งจาก เทศบาล อบต. และโรงงาน โดยเริ่มจากการคัดแยกเบื้องต้น คือ ให้คนเข้ามาคัดแยก และขายขยะคืนให้ โรงงาน และคัดแยกโดยเครื่องร้อนและเดินสายพานโดยจะทําการร่อนเอาเศษดิน เศษหินออกก่อน หลังจาก นั้นขยะก็จะถูกลําเลียงบนเครื่องเดินสายพาน เพื่อทําการคัดแยกขยะประเภทเศษถุงพลาสติก เพื่อทําการ ส่งไปเป็นเชื้อเพลิง และขยะประเภทแก้ว โลหะ พลาสติกประเภทต่างๆ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ หาแนวทางการจดั การปรับปรุงกระบวนการคัดแยกขยะประเภทเศษถุงพลาสติกเพื่อเพิ่มปริมาณการคัดแยก ขยะประเภทเศษถุงพลาสติกโดยสามารถนําผลการศึกษานี้ ใช้ปรับปรุงในขั้นตอนการคัดแยกขยะมูลฝอยของโรงงานได้อย่างมี ประสิทธิภาพ
  • รายการ
    การจัดการห้องเรียนที่สอดคล้องกับจํานวนนักศึกษา กรณีศึกษา: คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี
    (2556-05-30T16:51:08Z) ปชาชิต ลิมวัฒนานนท์
    การค้นคว้าอิสระครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1.) เพื่อศึกษาและแก้ไขปัญหาตารางสอนที่ไม่เหมาะสมโดยคํานึงการปรับเปลี่ยนตารางสอนให้ส่งผลกระทบกับเรื่อง อื่นน้อยที่สุดและสามารถแก้ปัญหาได้จริง 2.) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและเสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหาและเสนอแนะแนวทางแก้ไขให้แก่คณบดี ประชากรที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า คือ ห้องสําหรับทําการเรียนการสอนซึ่งอยู่บริเวณชั้นล่างและชั้น 2 ของคณะรวมไปถึงห้องเรียนที่ตั้งอยู่ในบริเวณรอบๆตัวอาคารของคณะ เครื่องมือที่ใช้ในการทําการศึกษาค้นคว้า คือ เครื่องมือวัดระยะ เครื่องมือในการจดบันทึก อุปกรณ์บันทึกภาพ และตารางสอนที่ระบุห้องและจํานวนนักศึกษา ผลการศึกษาค้นคว้า พบว่า รายวิชาของอาจารย์ในคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรมมีข้อผิดพลาดในการจัดตารางสอนอยู่พอสมควร จากการศึกษารวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆแล้วทางผู้วิจัยได้ทําการจัดตารางสอนใหม่ให้กับอาจารย์ที่จะต้อง เข้าไปสอนยังห้องที่ไม่สามารถทําการเรียนการสอนได้ และรายวิชาที่ยังไม่มีห้องที่จะทําการเรียนการสอน โดยหลังจากการจัดทําตารางสอนใหม่ของผู้วิจัย ทําให้ทุกรายวิชาภายในคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรมมีห้องเรียนที่เหมาะสมกับจํานวนผู้เรียนและไม่มีรายวิชาใด ที่ไม่มีห้องสอนเหมือนที่ผ่านๆมาในทุกเทอมของภาคการศึกษา
  • รายการ
    ศึกษาแนวทางการปรับปรุงหอพักนักศึกษามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน กรณีศึกษา: หอพักเอกชน
    (2556-05-30T16:48:45Z) ธีระฉัตร รัตนพงศ์
    การศึกษาแนวทางการปรับปรุงหอพักนักศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน กรณีศึกษา: หอพักเอกชน ได้ทําการศึกษาด้วยวิธีสํารวจด้วยแบบบันทึกการสํารวจภาคสนาม (Field Survey) ในการเก็บข้อมูลทางกายภาพของหอพักและสิ่งอํานวยความสะดวกต่างๆ ของหอพักเอกชน และหอพักของมหาวิทยาลัย เพื่อทํามาเปรียบเทียบกันและนํามาวิเคราะห์โดยแนวทางการบริหารอาคาร เพื่อหาแนวทางการปรับปรุงหอพักของมหาวิทยาลัยให้สามารถแข่งขันกับหอพักเอกชนภายนอกได้ และกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆของนักศึกษาในการเลือกเข้าพักอาศัย จากผลการสํารวจและนํามาเปรียบเทียบกัน เมื่อสรุปแยกเป็นด้านต่างๆของปัญหาที่พบจากการสํารวจของหอพักมหาวิทยาลัย จะได้ดังนี้ 1. ปัญหาอาคารมีสภาพทรุดโทรมขาดการดูแล 2. จํานวนของสิ่งอํานวยความสะดวกต่างๆไม่เพียงพอต่อจํานวนนักศึกษาที่พักในหอพักมหาวิทยาลัย 3. ด้านความปลอดภัยในทรัพย์สิน และด้านความปลอดภัยในชีวิต ที่น้อย ไม่มีระบบประตูเข้าออกแบบ Key Card ไม่มีที่เก็บของส่วนตัวที่เพียงพอ และมีอุปกรณ์ป้องกันอัคคีภัยไม่ครบถ้วนรวมไปถึงปัญหาของการบริการเรื่องของจํานวนแม่บ้าน จํานวนพนักงานรักษาความปลอดภัยไม่เพียงพอกับจํานวนหอพักและนักศึกษา

  • รายการ
    การศึกษาการใช้โปรแกรมสําเร็จรูปในการบริหารจัดการทรัพยากรอาคาร กรณีศึกษา บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ
    (2556-05-30T16:46:11Z) กฤษณะ นิลสกุล
    ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาทอย่างมากในทุกๆ ด้าน หากแต่ว่าเราสามารถที่จะนําเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ ในงานด้านที่เกี่ยวข้องกับงานของเราได้ จะทําให้เกิดผลของงานที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น งานด้านบริหารทรัพยากรอาคารในปัจจุบันก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน มีการพัฒนาซอฟต์แวร์ และนําซอฟต์แวร์เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ ซึ่งงานการค้นคว้าอิสระนี้ ได้ทําการศึกษาการนําโปรแกรมเข้ามาใช้งานในการบริหารจัดการ งานบริหารทรัพยากรอาคาร ส่วนของงานบํารุงรักษา ของบริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาเปรียบเทียบโปรแกรมการบริหารจัดการงานบํารุงรักษา, เพื่อศึกษาองค์ประกอบความต้องการพื้นฐานจากโปรแกรมในการบริหารงานบํารุงรักษา, เพื่อศึกษากระบวนการวิเคราะห์ ประกอบการพิจารณาระหว่างการจัดซื้อซอฟต์แวร์โปรแกรมสําเร็จรูปหรือการพัฒนาโปรแกรมซอฟต์แวร์ใช้งานเอ งและเพื่อศึกษากระบวนการวิเคราะห์ ด้านของความคุ้มค่าในการลงทุน จากการศึกษาพบว่าโครงสร้างการทํางานของซอฟต์แวร์บริหารงานบํารุงรักษา ทั้งส่วนซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นโดยต่างประเทศและพัฒนาขึ้นภายในประเทศไม่มีความแตกต่างกัน, การจัดซื้อโปรแกรมซอฟต์แวร์สําเร็จรูป มีค่าใช้จ่ายที่ต่ํากว่าและระยะเวลาพร้อมใช้งานที่สั้นกว่า การพัฒนาโปรแกรมใช้งานเอง และการนําโปรแกรมซอฟต์แวร์บริหารงานบํารุงรักษามาใช้งานจะทําให้เกิดผลประหยัดให้กับองค์กรโดยมีระยะเว ลาคืนทุนที่เหมาะสม
  • รายการ
    ศึกษาปัญหาของการปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างและปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณอ่างเก็บน้ําเขาสามสิบเพื่อเป็นแหล่ง ท่องเที่ยวของตําบลเขาสามสิบ
    (2556-05-30T16:36:15Z) ทองอินทร์ ชมโท
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)เพื่อศึกษาปญหาของการปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างและปรับปรุง ภูมิทัศน์บริเวณอ่างเก็บน้ําเขาสามสิบเพื่อเป็นแหล่งท่องเท่ียวของตําบลเขาสามสิบ 2)เพื่อศึกษากระบวนการ ปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างและปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณอ่างเก็บน้ําเขาสามสิบเพื่อเป็นแหล่งท่องเท่ียวของตําบล เขาสามสิบ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้คัดเลือกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จํานวน 5 แห่ง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นการสัมภาษณ์แบบไร้โครงสร้าง สถิติที่ใช้เป็นการบรรยายเชิงพรรณนา ผลการศึกษาได้พบว่า 1. ปัญหาที่พบ - ในส่วนของกรมชลประทาน งานท่ีจะต้องปรับปรุงและบํารุงรักษา เป็นงานที่มีการ เปลี่ยนแปลงส่วนหนึ่งส่วนใดของอาคารชลประทานที่ได้ออกแบบ/ก่อสร้างไว้เดิม หรือมีการออกแบบ/ ก่อสร้างขึ้นใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งน้ําและการระบายน้ําเป็นหลักใหญ่ - ในส่วนของกรมป่าไม้ จะพบว่าการก่อสร้างขัดกับหน้าที่ เพราะในส่วนของกรมป่าไม้ (โครงการพัฒนาพื้นที่ราบเชิงเขาป่าเขาฉกรรจ์(บ้านเขาสามสิบ)อันเนื่องมาจากพระราชดําริ) มีอํานาจหน้าที่ ในการอนุรักษ์ สงวน คุ้มครอง ฟื้นฟู ดูแลรักษา ส่งเสริมทํานุบํารุงป่าและการดําเนินการเกี่ยวกับป่าไม้ การ ทําไม้ การเก็บหาของป่า การใช้ประโยชน์ในที่ดินป่าไม้และการอื่นเกี่ยวกับป่าและอุตสาหกรรมป่าไม้ ทั้งนี้ เฉพาะที่ไม่อยู่ในอํานาจหน้าที่ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ปา และพันธุ์พืช - ในส่วนขององค์การบริหารส่วนตําบลเขาสามสิบ จะพบว่าขาดผู้ชํานาญการออกแบบงาน ก่อสร้าง เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นมีผลมาจากการออกแบบก่อสร้างที่ผิดพลาด ซึ่งส่งผลกระทบต่อการ ทํางานเป็นอย่างมาก เพราะมีการผิดพลาดเกิดขึ้น จะต้องรอแก้ไขแบบก่อสร้าง รอวิธีการแก้ไขงาน รอการอนุมัติแก้ไขงานจากผู้ออกแบบหรือเจ้าของโครงการ มีการเปลี่ยนแปลงการทํางาน เปลี่ยนแปลง ปริมาณงาน สรุป การปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างและปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณอ่างเก็บน้ําเขาสามสิบเพื่อเป็นแหล่ง ท่องเที่ยวของตําบลเขาสามสิบ จะต้องมีการศึกษาวิธีการในการปรับปรุง บนพื้นฐานของหลักวิชาการ ประกอบกับความเป็นไปได้ซึ่งยากกว่า การดําเนินการสําหรับอาคารที่ออกแบบใหม่ เพราะหากไม่มีการพิจารณาในลักษณะนี้ ก็จะไม่ได้รับการยอมรับและความร่วมมือจากเจ้าของหน่วยงานที่ดูและสถานที่ ให้ดําเนินการตามขั้นตอนดังนี้ - จัดทําโครงการปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างและปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณอ่างเก็บน้ําเขาสามสิบ เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวของตําบลเขาสามสิบแนบแบบก่อสร้าง รายละเอียดสถานะของสิ่งปลูกสร้างทางด้านความปลอดภัย และมั่นคงของตัวอาคารที่จะทําการปรับปรุง ข้อแนะนําในการปรับปรุงสิ่งปลูกสร้าง งบประมาณในการปรับปรุง และรวมถึงแผนงานด้วย - ดําเนินการยื่นคําขอ ณ โครงการชลประทานเจ้าของพื้นที่ - ยื่นเรื่องขออนุญาตใช้พื้นที่ต่อป่าไม้จังหวัดท้องที่ที่ป่านั้นตั้งอยู่ - ตั้งคณะทํางานการพัฒนาการท่องเที่ยว เพื่อทําหน้าที่ในการร่วมกําหนดทิศทางในการพัฒนาด้านการท่องเที่ยว การสร้างมาตรฐานด้านการบริการและความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว
  • รายการ
    แรงจูงใจของทายาทผู้สืบทอดธุรกิจครอบครัวผู้รับเหมาก่อสร้าง จังหวัดสุรินทร์
    (2556-05-30T16:18:01Z) ปรวิทย์ ภิรมย์
    การศึกษาฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาถึงปัจจัยที่มีผลต่อแรงจูงใจของทายาทผู้สืบทอดธุรกิจครอบครัวผู้รับเหมาก่อสร้างขนาดเล็กในจังห วัดสุรินทร์ โดยนําเอาข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ทายาทผู้ประกอบกิจการ เพื่อวิเคราะห์หาความสัมพันธ์กับทฤษฎีแรงจูงใจ ซึ่งผลที่ได้จะเป็นประโยชน์แก่ทายาทต่อการตัดสินใจสืบทอดกิจการ รวมถึงประโยชน์แก่ผู้ก่อตั้งที่จะเป็นแนวทางในการสร้างแรงจูงใจให้กับทายาทมีความสนใจในกิจการของตน วิธีการศึกษาจะเป็นการศึกษาทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับแรงจูงใจของ Herzberg และสัมภาษณ์แบบเจาะลึก ( Dept Interview) เพื่อหาปัจจัยที่ทําให้เกิดแรงจูงใจในการสืบทอดกิจการ จากผู้เป็นทายาทของผู้ประกอบการครอบครัวผู้รับเหมาก่อสร้างขนาดเล็กในจังหวัดสุรินทร์โดยตรงจํานวน 10 บริษัทรวมถึงการสัมภาษณ์กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จํากัด ( มหาชน) และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดิเวลลอปเม้นท์ จํากัด (มหาชน) เพื่อเป็นข้อมูลประกอบเพิ่มเติม ผลการศึกษาพบว่าปัจจัยที่ทําให้เกิดแรงจูงใจในการสืบทอดกิจการ จากผู้เป็นทายาทของผู้ประกอบการมีผลสนับสนุนต่อทฤษฎีแรงจูงใจของ Herzberg โดยมีทายาทที่มีแรงจูงใจจากปัจจัยจูงใจ(Motivation Factor) จํานวน 1 คน และมีแรงจูงใจจากปัจจัยค้ําจุน (Maintenance Factor) จํานวน 9 คน โดยทั้ง 9 คนมีแรงจูงใจจากภายนอกที่เหมือนและแตกต่าง อาจด้วยสาเหตุจากปัจจัยส่วนบุคคลเช่น เพศ อายุ ความสัมพันธ์ และการศึกษาที่อาจนําไปสู่การศึกษาในโอกาสครั้งต่อไปได้ ส่วนผลจากการสัมภาษณ์กรรมการผู้จัดการทั้ง 2 ได้ผลที่ตรงกันคือมีปัจจัยจูงใจ(Motivation Factor) เป็นแรงจูงใจในการสืบทอดกิจการ รวมทั้งได้ให้แนวทางในการปลูกฝังทายาทด้วยการให้การศึกษาและการเป็นแบบอย่างที่ดีเพื่อง่ายต่อการสืบท อดกิจการ ผลการศึกษานี้สามารถนําไปปรับปรุงใช้กับธุรกิจอื่นๆ หรือหน่วยงานของรัฐอาจนําไปเป็นกรณีศึกษาเพื่อแผนการพัฒนาธุรกิจครอบครัวที่ยั่งยืน เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไป
  • รายการ
    ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการทํางานของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย ในการทํางานระดับ “วิชาชีพ” ในธุรกิจก่อสร้าง ในเขตจังหวัดชลบุรี
    (2556-05-30T16:14:30Z) กิตติพงษ์ ซ้ายสุพันธุ์
    การศึกษาเรื่องปัจจัยทีมีผลต่อประสิทธิภาพในการทํางานของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยใน การทํางาน “ระดับวิชาชีพ” ในธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ในเขตจังหวัดชลบุรี เพื่อศึกษาว่าปัจจัยที่มีผล ต่อประสิทธิภาพในการทํางานของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทํางาน “ระดับวิชาชีพ” มีผลอยู่ ในระดับไหนและศึกษาถึงปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพในการทํางานของเจ้าหน้าที่ ความปลอดภัยในการทํางาน “ระดับวิชาชีพ” ผลการศึกษาพบว่า เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทํางาน “ระดับวิชาชีพ” มีความเข้าใจ หลักการวัตถุประสงค์ของการดําเนินงาน มีแผนปฏิบัติงานล่วงหน้า เข้าใจในงานที่รับผิดชอบและ เหมาะสมกับตําแหน่งหน้าที่สอดคล้องกับการเต็มใจในการปฏิบัติหน้าที่ตามสายงานบังคับบัญชาที่ มีความเหมาะสมกับตําแหน่งหน้าที่ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งมีส่วนทําให้งานสําเร็จ โดยไมต้องกังวลเรื่องการออกจากงานและไม่อยากเปลี่ยนไปทํางานอ่ืนปริมาณงานที่ทําสอดคล้อง กับความรู้ความสามารถและมีความสามารถพิเศษทําให้งานเสร็จทันตามเวลา ตลอดจนมีทัศนคติที่ดี ต่องานที่ทําและพึงพอใจในอาชีพที่ได้ มีโอกาสเรียนรู้งานและได้รับ ประสบการณ์ใหม่ๆ
  • รายการ
    การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการบานปลายของงบประมาณ การก่อสร้างบ้านพักอาศัยประเภทสร้างเอง ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
    (2556-05-30T16:04:21Z) ปาริชาต ศรีมงคล
    การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการบานปลายของงบประมาณการก่อสร้างบ้านพักอาศัยประเภทสร้างเองใ นเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นการวิจัยเชิงสํารวจ (Survey Research) โดยสัมภาษณ์จากกลุ่ม เจ้าของบ้านพักอาศัยประเภทสร้างเองที่มีราคาค่าก่อสร้าง 5-15 ล้านบาท และจากสถาปนิกและผู้รับเหมา จํานวนกลุ่มตัวอย่างละ 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ และค่าร้อยละ รวมถึงการจัดกลุ่มและสรุปภาพรวมของข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการบานปลายของงบประมาณ คือ ผู้ออกแบบขาดประสบการณ์ และมีการออกแบบไม่ละเอียด ทําให้ประเมินราคาค่าก่อสร้างบ้านพักอาศัยต่ํากว่าความเป็นจริงและประเมินราคาได้ไม่ครบถ้วน ทําให้ต้องเพิ่มงบประมาณในภายหลัง การกําหนดงบประมาณในการตกแต่งบ้านไว้น้อยเกินไปโดยส่วนใหญ่กําหนดไว้เพียงร้อยละ 20 ของงบประมาณการก่อสร้างบ้าน การที่ไม่มีการทําสัญญาจ้างกับผู้รับเหมารายย่อย การที่เจ้าของบ้านพักอาศัยเข้าไปทําการเลือกซื้อวัสดุเอง ทําให้ขาดการคํานึงถึงงบประมาณที่กําหนดไว้ นอกจากนั้นราคาค่าวัสดุตามที่ออกแบบมีราคาเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นจากที่ได้ประเมินราคาไว้เมื่อเวลาเปลี่ยนไป การที่เจ้าของบ้านพักอาศัยสั่งเพิ่มงานก่อสร้างมากกว่าแบบที่กําหนดไว้ เช่น มีการขยายพื้นที่บ้านเพิ่ม หรือเปลี่ยนแปลงแบบ และการก่อสร้างประสบอุปสรรคจากปัญหาสภาพภูมิอากาศ
  • รายการ
    การศึกษาความจําเป็นต่อการใช้แรงงานต่างด้าวในกิจการรับเหมาก่อสร้าง โครงการบ้านจัดสรร เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล กรณีศึกษา : ราคาขายบ้าน 3.5 - 8.5 ล้านบาท
    (2556-05-30T16:00:34Z) ยุทธนา ประทุมโพธิ์
    การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสํารวจ ( Survey Research) ในรูปแบบของแบบสอบถาม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความจําเป็นต่อการใช้แรงงานต่างด้าวในกิจการรับเหมาก่อสร้างโครงการบ้านจั ดสรร ซึ่งแรงงานต่างด้าวทั้งหมดที่ทํางานอยู่ในโครงการบ้านจัดสรรคือแรงงานต่างที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายทั้งห มด ในปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนและทํางานเป็นแรงงานเป็นการชั่วคราว เมื่อผู้ศึกษาได้สํารวจพบว่าแรงงานที่ทํางานในโครงการบ้านจัดสรรในปัจจุบันเป็นแรงงานต่างด้าวเป็นส่วนใ หญ่ซึ่งมีประมาณร้อยละ 63 ของแรงงานทั้งหมด และเป็นแรงงานคนไทยเพียงร้อยละ 37 ซึ่งแรงงานคนไทยกระจายทํางานอยู่ทุกประเภทงานที่มีอยู่ในประเภทงานของงานก่อสร้างโครงการบ้านจัดส รร แรงงานคนไทยชื่นชอบที่จะทํางานที่ใช้ทักษะ ความรู้และประสบการณ์มากกว่างานที่ใช้กําลัง แรงงานงานคนไทยที่ทํางานอยู่ในงานประเภทใช้กําลังมีแผนที่หยุดและเลิกทํางานชนิดนั้นๆ ในเวลาอันใกล้ ดังนั้น ในอนาคตค่าร้อยละของแรงงานคนไทยที่ทํางานในโครงการบ้านจัดสรรก็จะมีแนวโน้มลดลง ค่าร้อยละของแรงงานต่างด้าวที่ทํางานในโครงการบ้านจัดสรรก็จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ผู้ประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้างโครงการบ้านจัดสรรส่วนใหญ่ให้ข้อมูลว่าแรงงานคนไทยและแรงงานต่ างด้าวลดลงด้วยกันส่งผลให้ผู้ประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้างโครงการบ้านจัดสรรขาดแคลนแรงงานเป็นอ ย่างมาก และในขณะที่แรงงานก่อสร้างคนไทยลดลง ผู้ประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้างโครงการบ้านจัดสรรจึงมีความจําเป็นที่จะต้องใช้แรงงานต่างด้าวทํางานใน โครงการบ้านจัดสรรในเขตกรุงเทพและปริมณฑล โดยหาวิธีการบริหารแรงงานด้วยวิธีการต่างๆ เช่นการจ้างเหมาช่วง การจ่ายค่าแรงทุกสัปดาห์ การจ่ายค่าแรงที่ตรงเวลา เป็นต้น เพื่อรักษาจํานวนแรงงานที่มีอยู่ไว้ให้นาย ส่วนแรงงานที่ต่างด้าวที่น่าจะทดแทนแรงงานไทยหรือเหมาะกับการทํางานในโครงการบ้านจัดสรรมีอยู่เพียง 2 สัญชาติ คือ แรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าที่ขื่นชอบและถนัดงานที่ใช้ทักษะ ประสบการณ์ความละเอียดเรียบร้อย เช่น งาน ก่ออิฐฉาบปูน งานทาสี เป็นต้น และแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาที่อดทนต่องานหนัก ไม่เลือกงาน และเรียนรู้งานได้เร็ว เป็นต้น
  • รายการ
    การนําธรรมาภิบาลมาใช้ในโครงการก่อสร้าง ขององค์การบริหารส่วนตําบลบึงชําอ้อ
    (2556-05-30T15:55:03Z) พงศกร ศรีสุวรรณ
    การศึกษาเรื่อง “การนําหลักธรรมาภิบาลไปใช้ในโครงการก่อสร้าง: ศึกษา กรณีองค์การบริหารส่วนตําบลบึงชําอ้อ” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการดําเนินงานโครงการการสร้างขององค์การบริหารส่วนตําบลบึงชําอ้อภายใต้การ บริหารตามหลักธรรมาภิบาลและเพื่อศึกษาปัญหา อุปสรรคและแนวทางในการปฏิบัติงานตามหลักธรรมาภิบาลขององค์การบริหารส่วนตําบลบึงชําอ้อ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ความสุจริต ความมีประสิทธิภาพและความมีประสิทธิผล ตอบสนองความต้องการของประชาชนในเขตพื้นที่ได้อย่างเต็มที่ ผู้ศึกษาได้ดําเนินการศึกษาเชิงคุณภาพ โดยสัมภาษณ์ ผู้บริหารจํานวน 1 คน ข้าราชประจํา จํานวน 2 คน ผู้ปกครองท้องที่ จํานวน 3 คนและประชาชนผู้เกยี่ วข้อง จํานวน 3 คน ผลการศึกษาพบว่า องค์การบริหารส่วนตําบลบึงชําอ้อ มีการบริหารงานภายใต้หลักธรรมาภิบาล โดยได้ปฏิบัติตามแนวทางหลักพื้นฐาน 6 ประการ ของหลักธรรมาภิบาล โดยส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ความโปร่งใสและการมีส่วนร่วม โดยให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบ ร่วมแสดงความคิดเห็น ปัญหาและอุปสรรค พบว่า กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ที่เกี่ยวข้องในบางเรื่องยังล้าสมัยไม่ทันต่อเหตุการณ์ในปัจจุบันทําให้เกิดความล่าช้าในการปฏิบัติงาน ซึ่งทําให้ภาพที่ออกไปสู่สาธารณชนนั้น มองว่าองค์การบริหารส่วนตําบลไม่ได้ให้ความเป็นธรรม ข้อเสนอแนะการสร้างธรรมาภิบาลในองค์การบริหารส่วนตําบลบึงชําอ้อต้องได้รับความร่วมมือจากพนักงานส่ว นตําบลส่วนราชการอื่นที่เกี่ยวข้อง ชุมชน โดยต้องมีการอบรมหลักธรรมาภิบาล อบรมการปฏิบัติงานในสายวิชาชีพของพนักงาน เพื่อให้การปฏิบัติงานถูกต้องแม่นยํา ปลูกฝังจริยธรรม คุณธรรม ในภาคประชาชนนั้นต้องมีการจัดประชุมทั้งประธานชุมชน ประชาชนในเขตพื้นที่สม่ําเสมอ เพื่อชี้แจงการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตําบลรวมทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนในการตรวจสอบด้านความโปร่งใสขององค์การบริหารส่วนตําบลบึงชําอ้อ อีกทางหนึ่งด้วย
  • รายการ
    กรณีศึกษารูปแบบการบริหารองค์กรของผู้รับเหมาก่อสร้าง แบบเจ้าของคนเดียว
    (2556-05-30T15:50:51Z) มณีรัตน์ จันทร์ละม่อม
    การศึกษารูปแบบการบริหารองค์กรของผู้รับเหมาแบบเจ้าของคนเดียว มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการบริหารองค์กรของผู้รับเหมาก่อสร้างแบบเจ้าของคนเดียว และเพื่อเป็นแนวทางสําหรับบุคคลที่มีความสนใจในการเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างแบบเจ้าของคนเดียว โดยมีวิธีการดําเนินการศึกษา คือ การสัมภาษณ์ผู้รับเหมาก่อสร้างที่มีรูปแบบการบริหารองค์กรแบบเจ้าของคนเดียว ที่มีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จํานวน 10 ราย เพื่อนําข้อมูลจากการสัมภาษณ์ดังกล่าวมาวิเคราะห์หาหลักการและวิธีการในการบริหารองค์กรเพื่อให้องค์ กรผู้รับเหมาก่อสร้างแบบเจ้าของคนเดียวสามารถดําเนินกิจการจนประสบความสําเร็จได้จนถึงทุกวันนี้ ผลการศึกษาพบว่าผู้รับเหมาก่อสร้างแบบเจ้าของคนเดียวนั้น เป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในวิชาชีพช่างอยู่แล้วและต้องการมีธุรกิจเป็นของตัวเองจึงได้ลงทุนเปิด บริษัทรับเหมาก่อสร้างขึ้น โดยการรับงานรับเหมาก่อสร้างนั้นเป็นการรับงานแบบปากต่อปาก ในองค์กรจะมีพนักงานหลัก ๆ เพียงไม่กี่คนเท่านั้นและมีความสัมพันธ์ภายในองค์กรกันแบบเครือญาติ หากมีงานที่ต้องการใช้พนักงานเพิ่มจะเป็นการจ้างผู้รับเหมารายย่อยมาทํางานต่ออีกทอดหนึ่ง นอกจากนี้ในด้านการบริหารงานต่าง ๆ ภายในองค์กรเจ้าของกิจการจะเป็นผู้ดําเนินงานเองทั้งหมดยกเว้นงานด้านบัญชีที่จะใช้วิธีการจ้างบริษัทบั ญชีภายนอกมาดําเนินการแทน
  • รายการ
    กรณีศึกษาการว่าจ้างแรงงานก่อสร้าง(ถนนกีบหมู) ถนนสุเหร่าคลองหนึ่ง เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร
    (2556-05-30T15:46:20Z) ภิญโญ บุญช่วย
    การศึกษาการว่าจ้างแรงงานก่อสร้าง(ถนนกีบหมู) ถนนสุเหร่าคลองหนึ่ง เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานครมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการแหล่งรวมแรงงานก่อสร้าง มีการแรงงานกี่ประเภท ค่าแรง การว่าจ้างและขั้นตอนการว่าจ้างแรงงานก่อสร้าง และการดูแลแรงงานจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง โดยศึกษาจากการออกแบบสอบถาม จากแรงงานก่อสร้างถนนสุเหร่าคลองหนึ่ง (ถนนกีบหมู) จํานวน 200 คนและผู้ที่ว่าจ้างแรงงานก่อสร้างถนนสุเหร่าคลองหนึ่ง (ถนนกีบหมู) จํานวน 40 รายและสัมภาษณ์จากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่แรงงานก่อสร้าง(ถนนกีบหมู) ถนนสุเหร่าคลองหนึ่ง และการสังเกต เก็บข้อมูลมาวิเคราะห์เชิงปริมาณและพรรณนา ผลการศึกษาพบว่ามีแรงงานก่อสร้างประมาณ 5,000-8,000 เป็นตลาดแรงงานก่อสร้างทีใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เหตุผลที่แรงงานเลือกมาอยู่ที่ตลาดแรงงานก่อสร้างแห่งนี้เพราะอิสระไม่มีระเบียบข้อบังคับ ได้รับค่าจ้างวันต่อวัน และได้รับค่าแรงที่สูงกว่าแรงงานก่อสร้างที่เป็นลูกจ้างของบริษัทรับเหมาก่อสร้างทั่วไป ค่าจ้างแรงงานกรรมกรหญิง 400 บาทต่อวัน กรรมกรชาย 450 บาทต่อวัน แรงงานช่าง 500 บาทต่อวันหรือมากกว่าขึ้นอยู่กับการตกลง การว่าจ้างสามารถทําได้โดยการเจรจาตกลงกันระหว่างผู้ว่าจ้างและแรงงานก่อสร้างโดยตรง เหตุผลหลักที่ผู้รับเหมาก่อสร้างเลือกใช้แรงงานก่อสร้าง (ถนนกีบหมู) เนื่องจากขาดแคลนแรงงานและความสะดวกในการว่าจ้างไม่ต้องดูแลเรื่องสวัสดิการของแรงงานก่อสร้าง และมีแรงงานช่างมากมายหลายประเภทให้เลือกจ้างตามต้องการ
  • รายการ
    IMPROVING INDOOR ENVIRONMENTS FOR LOW-INCOME SETTLEMENTS
    (2555-03-05T07:36:52Z) Nattawut Usavagovitwong
    This article intends to clarify the importance of indoor environments in low-income settlements, which considered as marginal group of people, and to explore the possibility of indoor environmental improvement, which normally limit in financial resources, choices and alternatives. Regarding to their constraints, basic knowledge about sources of pollutants in the existing condition of low-income settlements are necessary as well as general condition of residential characteristics and their surroundings. By conducting the available core strategies, the prioritized major sources of pollutants are identified, simultaneously with investigating through the potential and strength of any resource in hand as solutions for alleviating this problem. Finally, plan and mechanism will be suggested on the basis of applicability and reasonableness in the real world.
  • รายการ
    คอมพิวเตอร์กับการออกแบบงานสถาปัตยกรรม
    (2555-03-05T07:09:52Z) Chanya Phonprasert
    การออกแบบในงนสถาปัตยกรรมศาสตร์ ในเรื่องของการทำงานสถาปนิกกับโต๊ะเขียนแแบบ การบรรยายต่างๆ ถูกบรรยายผ่านลายเส้นของดินสอและปากกาเขียนแบบ
  • รายการ
    ปัญหาของมือใหม่ (นักศึกษา) กับคอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบ
    (2555-03-05T06:59:18Z) รังษีเทพ สวัสดิสิงห์
    การทำงานด้านสถาปัตยกรรมเป็นเรื่องของการทำโมเดล 3 มิติทางคอมพิวเตอร์ เริ่มต้นจากการคิด และจินตนาการ