11. การค้นคว้าอิสระ/สารนิพนธ์

URI ถาวรสำหรับคอลเล็กชันนี้

เรียกดู

การส่งล่าสุด

ตอนนี้กำลังแสดง1 - 20 ของ 59
  • รายการ
    ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองพันธุ์ข้าวหอมมะลิ : ศึกษากรณีสิทธิบัตร= LEGAL PROBLEMS RELATED TO THE PROTECTION OF JASMINE RICE : CASE STUDY ON PATENT
    (2558-02-18T12:48:47Z) นภาพร เหลืองจารุธร
    สารนิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองพันธุ์ข้าวหอมมะลิ เนื่องจากปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพทำให้เกิดการตัดแต่งพันธุกรรมข้าว ดังนั้น เพื่อเป็นแรงจูงใจให้เกิดการคิดค้นและการพัฒนาพันธุ์ข้าว กระบวนการตัดแต่งพันธุกรรมและพันธุ์ข้าวที่เกิดขึ้นใหม่จึงถือเป็นการประดิษฐ์ที่ควรได้รับความคุ้มครอง แต่พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 มิได้กำหนดให้สิทธิบัตรให้ความคุ้มครองรวมไปถึงพันธุ์พืชด้วย ดังจะเห็นได้จากมาตรา 9 ซึ่งกำหนดห้ามมิให้ขอรับความคุ้มครองสิทธิบัตรในสิ่งมีชีวิต จากการศึกษา ผู้วิจัยเห็นว่าประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการให้ความคุ้มครองพันธุ์ข้าวหอมมะลิในประเทศไทยยังไม่มีความชัดเจนเพียงพอ ซึ่งระบบทรัพย์สินทางปัญญาที่ให้ความคุ้มครองได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ สิทธิบัตร ซึ่งเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่ให้สิทธิแต่เพียงผู้เดียวแก่ผู้ทรงสิทธิบัตรในการผลิต จำหน่าย หรือใช้ประโยชน์ เป็นต้น แม้จะมีขอบเขตระยะเวลาของการให้ ความคุ้มครองสิทธิบัตรการประดิษฐ์แต่ก็สามารถสร้างกำลังใจให้ผู้ประดิษฐ์ภายในระยะเวลาดังกล่าวได้ ทั้งนี้ ปัจจุบันประเทศไทยเข้าเป็นภาคีในสนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตรแล้ว ผู้ขอสามารถที่จะยื่นคำขอรับความคุ้มครองที่สำนักงานสิทธิบัตรภายในประเทศได้ อันเป็นการช่วยลดภาระของผู้ขอรับสิทธิบัตรในการยื่นคำขอรับสิทธิบัตรในประเทศต่างๆ
  • รายการ
    ศึกษาส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อการเลือกซื้อน้ำผักและน้ำผลไม้พร้อมดื่มของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร= A STUDY OF MARKTING MIX ON PURCHASING VEGETABLE AND FRUIT DRINKING JUICE IN BANGKOK
    (2558-01-26T08:50:36Z) ณัฐชากุล บุญฤทธิ์
    การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเลือกซื้อน้ำผลไม้พร้อมดื่มของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร และส่วนประสมการตลาดที่มีความสัมพันธ์ต่อการเลือกซื้อน้ำผักและน้ำผลไม้พร้อมดื่มของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครโดยท้าการศึกษาจากผู้บริโภคที่ซื้อน้ำผักและ/ หรือน้ำผลไม้พร้อมดื่มในเขตกรุงเทพมหานคร และเนื่องจากไม่ สามารถกำหนดจำนวนผู้ซื้อที่แท้จริงได้ จึงหาจำานวนกลุ่มตัวอย่างจากการเปิดตารางกำหนดขนาดตัวอย่างของ Taro Yamane ความเชื่อมั่น 95% กำหนดกลุ่มตัวอย่างจำนวน 200 ตัวอย่าง โดยใช้แบบสอบถามที่ออกแบบมา 2ด้านคือ ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ และส่วนประสมทางการตลาด โดยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้หลัก ทฤษฎีไม่อ้างอิงไม่น่าจะเป็น (Non-probability Sampling) แบบวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก (Convenience Sampling) ในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ใช้ในการศึกษามาประมวลผลโดยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา เป็นการบรรยายลักษณะที่สำคัญของ ข้อมูลของกลุ่มตัวอย่าง โดยการแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงอนุมานเป็นสถิติที่ใช้ทดสอบ โดยการวิเคราะห์ ค่าความสัมพันธ์ Chi-square ในระดับความเชื่อมั่น 95% ผลการศึกษาพบว่า ลักษณะกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 21-30 ปี สถานภาพโสด มีระดับการศึกษาในระดับปริญญาตรี ประกอบอาชีพเป็นพนักงานบริษัท และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนมากกว่า 20,000 บาทขึ้นไป การเลือกซื้อส่วนมากรูปแบบเป็น น้ำผลไม้ ส่วนมากนิยมซื้อรสน้ำส้ม ยี่ห้อทิปโก้ ดื่มน้ำผัก และน้ำผลไม้พร้อมดื่มเพื่อแก้กระหาย/ให้ความสดชื่นโดยตัวเองเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลซื้อมากที่สุด ซื้อในช่วงกลางวัน จากร้านสะดวกซื้อในขนาด 200-300 มล. ลักษณะเป็นกล่อง และซื้อน้ำผักและน้ำผลไม้พร้อมดื่ม 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ในส่วนประสมทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อพบว่าราคาของผลิตภัณฑ์เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพล มากที่สุด รองลงมาคือ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านการจัดจำหน่าย และด้านการส่งเสริมการตลาดตามลำดับ ในส่วนของผลการทดสอบสมมติฐานด้านประชากรศาสตร์พบว่า เพศ มีความสัมพันธ์กับความบ่อยครั้ง อายุมีความสัมพันธ์กับช่วงเวลาในการซื้อ สถานภาพมีความสัมพันธ์กับประเภทของน้ำผัก และน้ำผลไม้พร้อมดื่ม ระดับการศึกษามีความสัมพันธ์กับประเภทของน้ำผัก และน้ำผลไม้พร้อมดื่ม อาชีพมีความสัมพันธ์กับความบ่อยครั้งในการซื้อ รายได้มีความสัมพันธ์กับขนาดที่ ซื้อ และส่วนประสมทางการตลาดคือ ด้านผลิตภัณฑ์มีความสัมพันธ์กับความบ่อยครั้งในการซื้อด้านราคามีความสัมพันธ์กับขนาดที่เลือกซื้อ ด้านการจัดจำหน่ายมีความสัมพันธ์กับช่วงเวลาในการซื้อ ด้านการส่งเสริมการตลาดมีความสัมพันธ์กับยี่ห้อน้ำผักและน้ำผลไม้พร้อมดื่มที่เลือกซื้อ
  • รายการ
    ปัญหา และ การพัฒนาระบบบัญชี ของ บริษัท หวานใจ จำกัด = A STUDY OF PROBLEM AND DEVELOPMENT OF ACCOUNTING SYSTEM OF WHANJAI COMPANY LIMITED
    (2558-01-26T07:52:18Z) จินตนา เหล่าชัยพฤกษ์
    การศึกษาเรื่องปัญหาและการพัฒนาระบบบัญชีของบริษัท หวานใจ จำกัด มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เจ้าของผู้ประกอบการได้รับรู้ถึงประโยชน์ของการจัดทำบัญชีและเสริมสร้างความรู้ด้านบัญชีให้แก่ผู้ประกอบการ ให้เห็นประโยชน์ของการจัดทำบัญชี รู้รายได้ รู้รายจ่าย จ่ายอย่างไรให้เกิดปะโยชน์สูงสุด การประกอบธุรกิจจำเป็นต้องมีการจัดทำบัญชี ซึ่งจะเป็นเครื่องมือช่วยให้ผู้บริหารทราบถึงผลการดำเนินงาน และฐานะทางการเงินของกิจการรวมถึงสภาพคล่องทางด้าน การเงิน เปรียบเหมือนเป็นการเดินทางไปยังที่ไม่รู้จักแต่เรามีแผนที่ หรือ GPS ช่วยบอกตำแหน่งที่อยู่ และจุดหมายปลายทางทำให้รู้และสามารถเตือนตัวเองได้ทันว่ามีการออกนอกเส้นทาง หรือห่างไกลจุดหมายอย่างไรสำหรับธุรกิจขนาดเล็กทั่วไปเมื่อพูดถึงการทำบัญชีเรามักจะเห็นเป็นลักษณะของการจดรายรับ รายจ่ายลงในสมุด หรือไม่ก็เก็บใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหนี้และข้อมูลทางบัญชีต่างๆไวใ้นกล่องหรือไม่ก็ใส่แฟ้มวางไว้ และเมื่อเวลาผ่านไปข้อมูลทางการเงินเหล่านี้ ย่อมีมากขึ้นๆตามการเติบโตของธุรกิจ และแน่นอนว่าทำในลักษณะนี้อาจจะไม่สะดวกต่อการบริหารจัดการของผู้ประกอบการนั้นๆ ฉะนั้น คงถึงเวลาที่จะต้องพิจารณาหาระบบบัญชีมาไว้ใ้ช้งานเพื่อช่วยในการบริหารจัดการธุรกิจระบบบัญชีสำหรับธุรกิจ ไม่ใช่แค่จดใส่สมุด ใส่กล่องหรือใส่ แฟ้มธรรมดา แต่เป็นระบบที่จะเก็บและจัดการข้อมูลสำคัญทางธุรกิจ ซึ่งตัวเลขต่างๆเหล่านั้นสามารถที่จะบอกสถานะเกี่ยวกับธุรกิจของผู้ประกอบการได้หลายอย่าง อย่างไรก็ดีระบบบัญชีนั้นทำได้มากกว่าแค่เก็บข้อมูลแต่สามารถใช้เ้ป็นดัชนีทางการเงินได้อีกด้วย เนื่องจากระบบบัญชีจะมีส่วนประกอบต่างๆเหล่านี้ • สามารถเก็บข้อมูลได้ครบถ้วน รายรับ รายจ่าย ค่าบริหารจัดการต่างๆ • สามารถจัดการข้อมูลได้ เช่น การจัดเรียงข้อมูล หรือค้นหาข้อมูลตามวัน ตามประเภทของรายการได้ • มีฐานข้อมูลทางบัญชี สามารถนำข้อมูลเขา้ ในรูปแบบฟอร์มทาง บัญชีได้ หรือสามารถคำนวณได้ • มีรายงานทางการเงิน สามารถแสดงรายงาน แสดงงบดุล งบกำไรขาดทุนเทียบกับงบประมาณได้ • วิเคราะห์ ช่วยควบคุมระบบการเงิน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น หรือใช้เ้งินทุนที่มีได้อย่างเต็มที่ ผลตอบแทนอันคุ้ม ค่าของการเลือกเป็นเจ้า ของธุรกิจ มาพร้อมกับความรับผิดชอบในการจัดทำระบบบัญชี เพราะระบบบัญชีที่ดีจะทำให้คุณควบคุมกิจการของตนเองไดดี้ขึ้นและมีกำไรมากขึ้นตามมา ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การที่ระบบบัญชีไม่ดีนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงิน หรือกระแสเงินสดของธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่ยังส่งผลลามไปยังการดำเนินงานของธุรกิจในอนาคตตลอดจนสะท้อนภาพลักษณ์ขององค์กรต่อสายตาบุคคลภายนอกอีกด้วย
  • รายการ
    ความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อการให้บริการของโรงแรมบูรพาสามยอด = CUSTOMERS SATISFACTION ON SERVICES OF BURAPA SAMYOD HOTEL
    (2558-01-23T11:24:59Z) ณัฐชนนต์ ราชรุจิทอง
    การศึกษาค้นคว้าอิสระครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเรื่อง ความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อการให้บริการของโรงแรมบูรพาสามยอด โดยศึกษาจากปัจจัยบุคคลที่แตกต่างกันได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพและรายได้ ว่ามีผลต่อระดับความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อการให้บริการของโรงแรมบูรพาสามยอดหรือไม่ โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือ ลูกค้า ที่เป็นกลุ่มประชาชน ชาวไทยที่เข้ามาใช้บริการของโรงแรมบูรพาสามยอด จำนวน 220 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาแบบสอบถาม มี่ค่าความเชื่อมั่น 95% สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าร้อยละ (Percentage)ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviations) จากการศึกษาพบว่า 1.มีเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยคิดเป็นร้อยละ 51.8 และ 48.2 ตามลำดับ ซึ่งช่วงอายุของผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่อายุ 41 – 50 ปี คิดเป็นร้อยละ 40.5 ส่วนใหญ่มีการศึกษาระดับ ต่ำ กว่าปริญญาตรีคิดเป็นร้อยละ 62.7 มีอาชีพเป็นพนักงานเอกชนคิดเป็นร้อยละ 51.8 และมีรายได้ต่อเดือน 15,001 – 25,000 บาทคิดเป็นร้อยละ 55.0 2.การตัดสินใจเลือกใช้บริการของโรงแรมบูรพาสามยอดภาพรวมอยู่ในระดับปานกลางโดยมีระดับความพึงพอใจมากด้านสถานที่ตั้งและช่องทางจัดจำหน่าย(Place)ด้านการให้บริการด้านผลิตภัณฑ์ (Products)ด้านการส่งเสริมการตลาด(Promotion)ด้านราคา (Price)ลดหลั่นลงมาตามลำดับ
  • รายการ
    ความพึงพอใจที่มีผลต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดของลูกค้าที่มาใช้ บริการธนาคารกสิกรไทย สาขาสี่แยกราชวงศ์ =A CUSTOMER EFFECTING ON MIX OF THE SERVICES OF KASIKORN BANK SI YEAK RATCHAWONG BRANCH
    (2558-01-23T10:32:29Z) ประพันธ์ แถวกระต่าย
    การศึกษาค้นคว้าอิสระครั้งนี้เป็นการศึกษา เรื่องความพึงพอใจที่มีผลต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดของลูกค้าที่มาใช้บริการธนาคารกสิกรไทย สาขาสี่แยกราชวงศ์ มีวัตถุประสงค์ การศึกษา 1.เพื่อศึกษาข้อมูลทางประชากรศาสตร์ของลูกค้าที่มาใช้บริการธนาคารกสิกรไทย สาขาสี่แยกราชวงศ์ 2.เพื่อศึกษาความพึงพอใจในส่วนประสมการตลาดของลูกค้าที่มาใช้บริการธนาคารกสิกรไทย สาขาสี่แยกราชวงศ์โดยศึกษาจากปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกันได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้ต่อเดือนและอาชีพ ว่ามีผลต่อความพึงพอใจที่มีผลต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดของลูกค้าที่มาใช้ บริการธนาคารกสิกรไทย สาขาสี่แยกราชวงศ์ หรือไม่ โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือ ลูกค้าที่มาใช้บริการจำนวน 200 คน ซึ่งกาหนดโดยใช้เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือ แบบสอบถาม ผู้ศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จรูปทางสถิติ โดยสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษา คือ ปัจจัยทางประชากรศาสตร์ส่วนใหญ่เป็น เพศหญิงมากกว่าเพศชายคิดเป็นร้อยละ 64.0 อายุระหว่าง 41-50 ปี คิดเป็น ร้อยละ 33.0 ส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คิดเป็นร้อยละ 36.5 มีรายได้ 10,001-20,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 42.5 มีอาชีพเป็นเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว คิดเป็นร้อยละ 17.5 ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดส่วนใหญ่ที่อยู่ในระดับมากที่สุด ด้านลักษณะทางกายภาพ ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านบุคลากรผู้ให้บริการ ด้านกระบวนการให้บริการ ด้านสถานที่ ด้านราคา และด้านผลิตภัณฑ์
  • รายการ
    ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเข้าฝึกอาชีพ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน = FACTORS AFFECTING THE DECISION TO PRACTICE PROFESSION WITH THE DEVELOPMENTOF SKILL DEVELOPMENT
    (2558-01-23T10:21:26Z) ปรียานุช ดีพรมกุล
    การศึกษาค้นคว้าอิสระครั้งนี้เป็นการศึกษา เรื่อง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเข้าฝึกอาชีพ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน มีวัตถุประสงค์การศึกษา 1.เพื่อศึกษาถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผู้เข้ารับการฝึกในการตัดสินใจเข้าฝึกอาชีพของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน 2.เพื่อศึกษาถึงสาเหตุในการเลือกเข้ารับการฝึกอาชีพในแต่ละสาขาของผู้เข้ารับการฝึก 3.เพื่อศึกษาถึงความพึงพอใจของผู้เข้ารับการฝึกต่อการให้บริการฝึกอาชีพของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานโดยศึกษาจากปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกันได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้ต่อเดือน จำนวนสมาชิกในครอบครัว ว่ามีผลต่อมีอิทธิพลต่อการเข้าฝึกอาชีพกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงานหรือไม่โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือ ผู้เข้ารับการฝึกอาชีพ จำนวน 145 คน ซึ่งกำหนดโดยใช้สูตรการคำนวณของทาโรยามาเน่ (Yamane) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือ แบบสอบถาม ผู้ศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จรูปทางสถิติ โดยสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษา คือ ปัจจัยส่วนบุคคลส่วนใหญ่เป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิงคิดเป็นร้อยละ 78.6 อายุระหว่าง 15-20 ปี คิดเป็น ร้อยละ 42.1 ส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับ ปวช.คิดเป็นร้อยละ 37.2 มีรายได้ 4,000-7,000บาท คิดเป็น ร้อยละ 47 มีสมาชิกในครอบครัว 1-3 คน คิดเป็นร้อยละ 51 ปัจจัยภายในที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเข้าฝึกอาชีพ อยู่ในระดับ มากที่สุด ปัจจัยภายนอกที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเข้าฝึกอาชีพ อยู่ในระดับ มาก หลักสูตรที่เลือกฝึกมากที่สุด คือ หลักสูตรเตรียมเข้าทำงาน เพราะรายได้ที่คาดหวังจากการเข้าฝึกอาชีพมีมากที่สุด ผู้เข้ารับการฝึกมีความพึงพอใจต่อการให้บริการของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ระดับมาก
  • รายการ
    ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ปลาเส้นของผู้บริโภค = THE MARKETING MIX FACTORS INFLUENCING THE CONSUMER PURCHASING OF FISH SNACK PRODUCTS
    (2558-01-22T10:05:41Z) ปาณิศรา สิริเอกศาสตร์
    การศึกษาเรื่อง “ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ปลาเส้นของผู้บริโภค” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาด้านปัจจัยประชากรศาสตร์ ซึ่งประกอบด้วยเพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพสมรส อาชีพ รายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือน และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางด้านส่วนประสมทางการตลาด ซึ่งประกอบด้วย ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ ปัจจัยด้านราคาปัจจัยด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และปัจจัยด้านการส่งเสริมทางการตลาด ที่มีผลต่อการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ปลาเส้นของผู้บริโภค ซึ่งการศึกษาครั้งนี้ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ประชาชนที่เป็นทั้งเพศชายและหญิง อายุ 15 ปีขึ้นไป จานวน 200 ตัวอย่าง ที่เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ปลาเส้นฟิชโชของผู้บริโภคในเขตพญาไท วิเคราะห์ผลข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา ประกอบด้วย การแจกแจงความถี่ของข้อมูล และคำนวณหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 69.5 มีอายุ 15 -25 ปี ร้อยละ 48.5 สถานภาพโสด ร้อยละ 60.5 ระดับการศึกษาปริญญาตรี ร้อยละ 48.5 อาชีพนักเรียน/ นักศึกษา ร้อยละ 57.5 และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,000 – 20,000 บาท ร้อยละ 47.0 จากการศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ผู้ตอบแบบสอบถามให้ระดับความสำคัญเรียงตามลำดับค่าเฉลี่ย คือ ปัจจัยด้านการส่งเสริมการตลาด มีระดับความสำคัญมากที่สุด ปัจจัยด้านราคา ปัจจัยด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ มีระดับความสำคัญมาก ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญที่มีผลต่อการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ปลาเส้นโดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 3.57) ปัจจัยย่อยที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด 3 ลำดับแรก คือ บรรจุภัณฑ์มีความสะอาดและผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.04 (ระดับความสำคัญมาก) รองลงมาควบคุมน้ำหนัก ไม่มีคอเรสตอรอล มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.76 (ระดับความสำคัญมาก) และมีคุณค่าทางโภชนาการ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.52(ระดับความสำคัญมาก)
  • รายการ
    การศึกษาความพึงพอใจของลูกค้าต่อส่วนประสมการตลาดบริการของร้าน ริว ชาบู ชาบู สาขาสยามสแควร์=A STUDY OF CUSTOMERS SATISFACTION TOWARDS SERVICES MARKETING MIX OF RYU SHABU SHABU SIAM SQUARE
    (2558-01-22T09:48:00Z) วิไลวรรณ บุญวิเซ็นต์
    การศึกษาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย ศึกษาความพึงพอใจของลูกค้าต่อส่วนประสมการตลาดบริการของ ร้าน ริว ชาบู ชาบู สาขาสยามสแควร์ โดยศึกษาจากปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกันได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพ การศึกษา อาชีพ และรายได้ ว่ามีผลต่อระดับความพึงพอใจของ ผู้ใช้บริการของ ร้าน ริว ชาบู ชาบู สาขาสยามสแควร์หรือไม่ โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ ลูกค้าที่ใช้บริการร้าน ริว ชาบู ชาบู สาขาสยามสแควร์ จานวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา เป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น .95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน T-Test และ One Way ANOVA จากผลการศึกษาพบว่า 1.ผู้ตอบแบบสอบถามเป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชายโดยคิดเป็นร้อยละ 53.5 ซึ่งช่วงอายุของผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่อายุ 21-40 ปี คิดเป็นร้อยละ 43.8 ส่วนใหญ่มีการศึกษาระดับปริญญาตรี คิดเป็นร้อยละ 50.5 มีอาชีพนักเรียน/นักศึกษามากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 43.8และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนส่วนใหญ่ต่ากว่าหรือเท่ากับ15,000 บาทคิดเป็นร้อยละ 42.5 2.ความพึงพอใจของผู้ตอบแบบสอบถามที่ใช้บริการร้านริว ชาบู ชาบู สาขาสยามสแควร์จาแนกตามปัจจัยของส่วนประสมทางการตลาดภาพรวมอยู่ในระดับมาก ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ให้ระดับความพึงพอใจในด้านช่องทางการจัดจาหน่ายมากสุดรองลงมาคือ ด้านภาพลักษณ์และการนำเสนอ ด้านบุคลากร ด้านกระบวนการในการทางาน ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคาและด้านการส่งเสริมการขาย ลดหลั่นลงมาตามลำดับ 3.ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามที่ใช้บริการร้านริว ชาบู ชาบู สาขาสยามสแควร์ที่มีเพศแตกต่างกัน ให้ความพึงพอใจต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดโดยรวมไม่แตกต่างกัน ส่วนอายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนแตกต่างกัน มีผลต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดโดยรวมต่างกัน
  • รายการ
    แรงจูงใจในการศึกษาต่อระดับปริญญาโทของข้าราชการกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน = THE MOTIVATION TO STUDY FOR A MASTER’S DEGR EE OF THE GOVERNMENT OFFICER IN THE DEPARTMENT OFALTERNATIVE ENERGY DEVELOPMENT AND EFFICIENCY
    (2558-01-22T09:08:51Z) สมฤทัย ไทยนิยม
    การศึกษาค้นคว้าอิสระครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออศึกษาเรื่อง แรงจูงใจในการศึกษาต่อระดับปริญญาโทของข้าราชการ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน โดยศึกษาจากปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกันได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพ อายุราชการ ระดับตำแหน่งงาน รายได้ต่อเดือน แหล่งทุนสนับสนุน ว่ามีผลต่อแรงจูงใจในการศึกษาต่อระดับปริญญาโทของข้าราชการกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานหรือไม่ โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือ ข้าราชการ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 174 คน ซึ่งกำหนดโดยใช้สูตรการคำนวณของทาโรยามาเน่ (Yamane)เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือ แบบสอบถาม ผู้ศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทางสถิติ โดยสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน จากการศึกษาพบว่า 1.มีเพศชายมากกว่าเพศหญิงคิดเป็นร้อยละ 62.1อายุระหว่าง 36-45 ปี คิดเป็นร้อยละ 37.4 ส่วนใหญ่มีสถานภาพสมรส คิดเป็นร้อยละ 56.9 ซึ่งมีอายุราชการ 15 ปี ขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ37.4 โดยมีตำแหน่งงานระดับชำนาญการมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 56.3 มีรายได้ต่อเดือน 30,001 ขึ้นไปคิดเป็นร้อยละ 31.0 และมีแหล่งเงินทุนที่ีนำมาใช้ในการศึกษาต่อมาจากตนเอง คิดเป็นร้อยละ 48.9 2.ข้าราชการมีแรงจูงใจในการศึกษาต่อระดับปริญญาโท ภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับรายด้านจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการได้รับการยอมรับ ด้านการพัฒนาตนเองด้านคุณภาพงาน ด้านความก้าวหน้าในงานและรายได้ และด้านการย้ายหรือเปลี่ยนสายงาน
  • รายการ
    การศึกษาความพึงพอใจในงานของบุคลากรกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน =THE STUDY OF JOB PERFORMANCE SATISFACTION OF DEPARTMENT OF ALTERNATIVE ENERGY DEVELOPMENT AND EFFICIENCY
    (2558-01-21T12:49:25Z) สุปราณี อนุศาสตร์
    การศึกษาเรื่องความพึงพอใจในงานของบุคลากร กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจในงานของบุคลากร และ 2)เพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจในงานของบุคลากร จำแนกตามปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคล การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงสำรวจ (Survey Research)โดยใช้กลุ่มตัวอย่างคือ บุคลากร กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 174 คน ซึ่งกำหนดโดยใช้สูตรการคำนวณของทาโรยามาเน่(Yamane)เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม (Questionnaire) แบ่งออกเป็น 2 ตอนคือ ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคล และตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับความพึงพอใจในงานของบุคลากร ผู้ศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทางสถิติ โดยสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยใช้ค่าสถิติ t-test และค่าสถิติ F-test หรือความแปรปรวนทางเดียว (One-Way ANOVA)และทดสอบค่าเฉลี่ยความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธี LSD ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 ผลการวิจัยพบว่า 1)บุคลากร กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน มีความพึงพอใจในงานภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณารายด้านทั้งหมด 7 ด้านนั้น บุคลากรมีความพึงพอใจในงานอยู่ในระดับมาก 3 ด้าน โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากสูงไปต่ำคือ ด้านความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ด้านความมั่นคงและปลอดภัย และด้านการปกครองบังคับบัญชา ด้านที่เหลืออีก 4 ด้าน บุคลากรมีความพึงพอใจอยู่ในระดับปานกลางทั้งหมด โดยสามารถเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากสูงไปต่ำ ได้คือ ด้านนโยบายและการบริหาร ด้านสภาพแวดล้อมในการทำงาน ด้านสวัสดิการ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านค่าตอบแทน 2)บุคลากรที่มีปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคล มีความพึงพอใจ ในงานในภาพรวมไม่แตกต่างกัน แต่หากพิจารณารายด้านพบว่า บุคลากรที่มี เพศ ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และระยะเวลาในการปฏิบัติงานที่แตกต่างกัน มีระดับความพึงพอใจในงานราย ด้านแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
  • รายการ
    การศึกษาความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรกองคลัง สำนักพระราชวัง = WORKING SATISFACTION OF PERSONNELFINANCE DEPARTMENT, BUREAU OF THE ROYAL HOUSEHOLD
    (2558-01-21T12:43:15Z) สุทธกร เฟื่องกรณ์
    การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความสำคัญความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรกองคลัง สำนักพระราชวัง เครื่องมือที่ใช้ในการสำรวจใช้แบบสอบถาม โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรกองคลังสำนักพระราชวัง จำนวน 120 ราย มีการเก็บรวบรวมข้อมูลใช้แบบสอบถาม (Questionnaires)เพื่อนำมาวิเคราะห์ด้วยคอมพิวเตอร์โปรแกรม SPSS ใช้ค่าสถิติเชิงพรรณนาคือ ที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ การหาจำนวน ค่าร้อยละ การหาค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน(Standard Deviation : S.D) ผลการวิเคราะห์ พบว่า ระดับความสำคัญความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรกองคลัง สำนักพระราชวัง ทั้ง 8 ด้าน โดยภาพรวม ค่าเฉลี่ยความสำคัญอยู่ในระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า มีด้านที่มีระดับความพึงพอใจมากอยู่ 4 ด้าน โดยด้านความมั่นคงในงานและชื่อเสียง มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมาคือ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและด้านการได้รับการยอมรับนับถือมีค่าเฉลี่ยเท่ากัน และด้านนโยบายในการบริหารมีค่าเฉลี่ยต่าสุด ส่วนด้านที่มี ระดับความพึงพอใจปานกลาง จำนวน 4 ด้าน โดยด้านสภาพแวดล้อมในการทางาน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือด้านผลตอบแทนและสวัสดิการ ด้านลักษณะของงานที่ปฏิบัติ และด้านโอกาส ความก้าวหน้าในหน้าที่การทางานมีค่าเฉลี่ยต่าสุด ตามลำดับ
  • รายการ
    ความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อการให้บริการของธนาคารออมสิน สาขาสวนจิตรลดา = CUSTOMERS’SATISFACTION ON SERVICES AT GOVERNMENTSAVINGS BANK, CHITRALADA BRANCH
    (2558-01-21T10:30:08Z) หทัยรัตน์ บรรลือ
    การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1)เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้บริการที่มีต่อคุณภาพการให้บริการของธนาคารออมสินสาขาสวนจิตรลดาและ (2)เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงการให้บริการให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้บริการของธนาคารออมสินสาขาสวนจิตรลดา และสาขาอื่นๆ มากยิ่งขึ้น ประชากรที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ คือ ลูกค้าของธนาคารออมสินสาขาสวนจิตรลดา มีขนาดของตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา จำนวน 290 คน โดยใช้สูตรคานวณของ TaroYamane ค่าความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 5% ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ (Accidental Sampling)เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัย ใช้สถิติแบบพรรณนา (Descriptive statistic) โดยการวิเคราะห์แจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย(X)และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(S.D.)การวิเคราะห์เพื่อทดสอบสมมติฐาน ใช้การทดสอบค่าที (t-test)และการวิเคราะห์ความแปรปรวนจาแนกทางเดียว(One-Way ANOVA) ผลการวิเคราะห์ ข้อมูลสรุปได้ดังนี้ ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 41 ขึ้นไป สถานภาพสมรสระดับการศึกษาปริญญาตรี อาชีพ ข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,000-20,000บาท มีจำนวนครั้งที่ใช้บริการธนาคารออมสินสาขาสวนจิตรลดาเฉลี่ยต่อเดือน 4 ครั้งขึ้นไปบริการของธนาคารออมสิน สาขาสวนจิตรลดาที่ใช้บริการมากที่สุด คือบริการฝาก-ถอนเงิน และมีระยะเวลาที่ใช้บริการธนาคารออมสินสาขาสวนจิตรลดา 1-3 ปี และ 10 ปีขึ้นไป สำหรับความพึงพอใจที่มีต่อคุณภาพการให้บริการของธนาคารออมสิน สาขาสวนจิตรลดาโดยรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า มีความพึงพอใจมากที่สุดในด้านการตอบสนองความต้องการ รองลงมา คือ ด้านการให้ความมั่นใจ ด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ ด้านความน่าเชื่อถือหรือความไว้วางใจ และด้านการเข้าใจการรับรู้ความต้องการของผู้รับบริการ ตามลำดับ
  • รายการ
    ปัจจัยส่วนผสมทางการตลาดในการเลือกซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปในพื้นที่บูท ให้เช่าในศูนย์การค้าเสริมไทย จังหวัดมหาสารคาม = MARKETING FACTORS AFFCTING PURCHASING BEHAVIORSAT SERMTHAI COMPLEX MAHA SARAKHAM PROVINCE
    (2558-01-21T10:12:31Z) พันธิตรา กลีบพิพัฒน์
    การศึกษา ปัจจัยในการเลือกซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปในพื้นที่บูทให้เช่าในศูนย์การค้าห้างเสริมไทย จังหวัดมหาสารคามโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการซื้อ และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปของผู้บริโภค และเพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมและปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปของผู้บริโภค กรอบในการศึกษาประกอบด้วยตัวแปรอิสระได้แก่ เพศ อายุ อาชีพ รายได้เฉลี่ยต่อเดือนและระดับการศึกษา ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ ประชาชนในเขตอำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม จำนวน100คน และตัวแปรตาม คือ ปัจจัยและพฤติกรรมการเลือกซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูป ซึ่งมีตัวชี้วัดเป็นในการตัดสินใจการซื้อคือด้านสินค้า/บริการ/การจัดจำหน่าย/การส่งเสริมการตลาด กลุ่มตัวอย่างได้จากการสุ่มแบบเจาะจงของลูกค้าที่เข้ามาเลือกซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปในพื้นที่ บูทของห้างเสริมไทย จังหวัดมหาสารคาม จำนวน 100คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือ แบบสอบถาม การเก็บรวมรวบข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละหรือค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานChisquare, t-test, F-test
  • รายการ
    ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัท เอบีบี จำกัด = EMPLOYEES’ SATISFACTION IN ABB LIMITED
    (2558-01-21T09:57:38Z) พรภัทร์ รุ่งมงคลทรัพย์
    การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเรื่อง ระดับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัท เอบีบี จำกัด และเปรียบเทียบความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัท เอบีบี จำกัด โดยจำแนกตามปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา ตำแหน่งงานรายได้เฉลี่ยต่อเดือน และระยะเวลาการปฏิบัติงานกลุ่มตัวอย่างคือ พนักงานบริษัท เอบีบี จำกัดสำนักงานใหญ่จำนวน 195 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย ระบบคอมพิวเตอร์โดยใช้โปรแกรมสาเร็จรูปทางสถิติ SPSS เพื่อหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานT-testและ F-test (One way ANOVA)โดยกำหนดระดับนัยสา คัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า 1.ผลการวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจในการปฏิบัตงานของพนักงานโดยรวมอยู่ในระดับมากเมื่อพิจารณาในแต่ละด้าน 6 ด้าน ความพึงพอใจในด้านลักษณะงานมีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ 3.83 รองลงมาได้แก่ ด้านความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา ด้านนโยบายและการปกครองบังคับบัญชาด้านความมั่งคงในงานด้านความก้าวหน้าในตำแหน่งงานตามลาดับ และความพึงพอใจในด้านค่าจ้างและสวัสดิการ มีค่าเฉลี่ยต่า สุดคือ 3.63 2. ผลการเปรียบเทียบความพึงพอใจในการปฎิบัติงานพบว่า พนักงานที่มี เพศ ระดับการศึกษารายได้เฉลี่ยต่อเดือนระยะเวลาในการปฏิบัติงานแตกต่างกันมีความพึงพอใจในการปฏิบัติงานไม่แตกต่างกันส่วนพนักงานที่มีอายุตำแหน่งหน้าที่ปัจจุบันแตกต่างกันมีความพึงพอใจในการปฏิบัติงานแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
  • รายการ
    ปัจจัยที่มีผลต่อความผูกพันต่อองค์การของพนักงานรายวัน บริษัททวินส์ สเปเชียล จำกัด
    (2557-12-04T10:02:55Z) ณิชชาพัชญ์ จินตนา
    การศึกษาเรื่อง “ปัจจัยที่มีผลต่อความผูกพันต่อองค์การของพนักงานรายวัน : กรณีศึกษาเฉพาะบริษัททวินส์ สเปเชียล จำกัด” มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาเพื่อวิเคราะห์ระดับความผูกพันและปัจจัยที่มีผลต่อความผูกของพนักงานรายวันที่มีต่อบริษัท ทวินส์ สเปเชี่ยน จำกัด โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นพนักงานกลุ่มรายวันจำนวน 177 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการศึกษา แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ปัจจัย ด้านลักษณะส่วนบุคคล ลักษณะงานที่ปฏิบัติ ความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน และความผูกพันต่อองค์การ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน T-test , F- test (One way Analysis) ANOVA และการทดสอบค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson Correlation) ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ผลการศึกษา พบว่า จำนวนตัวอย่าง 177 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 31-40 ปี สถานภาพสมรส การศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี โดยส่วนใหญ่มีอายุงาน 1-3 ปี และมีรายได้ต่อเดือนต่ำกว่า 6,000 บาท สำหรับลักษณะส่วนบุคคลกับความผูกพันต่อองค์การพบว่าไม่มีความสัมพันธ์กับความผูกพันองค์การ ส่วนปัจจัยด้านลักษณะงานได้แก่ ความมีอิสระในการทำงาน ความท้าทายของงาน ความก้าวหน้าและความสำเร็จในงาน การมีส่วนร่วมตัดสินใจในการทำงาน มีความสัมพันธ์กับความผูกพันองค์การ ยกเว้นความก้าวหน้าและความสำเร็จในงานไม่มีความสัมพันธ์กับความผูกพันองค์การ ส่วนปัจจัยด้านความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน ได้แก่ ความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน การได้พัฒนาความรู้ความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน การได้พัฒนาความรู้ความสามารถ เงินเดือนและสวัสดิการต่าง ๆ สภาพแวดล้อมในการทำงาน ความมั่นคงต่อการทำงานในองค์การ ภาพลักษณ์ที่มีต่อองค์การ มีความสัมพันธ์กับความผูกพันองค์การ ซึ่งสรุปโดยส่วนรวมแล้ว ระดับความผูกพันต่อองค์การของพนักงานรายวัน บริษัททวินส์ สเปเชียล จำกัด ส่วนใหญ่มีความผูกพันต่อองค์การในระดับปานกลาง
  • รายการ
    ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับการแข่งขันทางการค้าในวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทยเมื่อมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
    (2557-12-04T09:46:21Z) วรุตม์ ธีรจันทรางกูร
    ในการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน การที่พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 มาตรา 14 กำหนดให้มีทุนขั้นต่ำที่คนต่างด้าวใช้ในการเริ่มต้นประกอบธุรกิจในประเทศไทยเป็นการขัดกับหลักการปฏิบัติเยี่ยงคนชาติ (National Treatment) ของสมาชิกอาเซียนตามที่กำหนดไว้ในแผนงานการจัดตั้งประชาคมอาเซียน (AEC Blueprint) ซึ่งต้องให้มีข้อยกเว้นไว้สำหรับคนชาติสมาชิกอาเซียนด้วย ในเรื่องหน่วยงานในการให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ปรากฏว่ามีหลายหน่วยงานและแต่ละหน่วยงานก็มีข้อมูลไม่ครบถ้วน จึงควรที่จะให้มีหน่วยงานหนึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการให้ความช่วยเหลือนี้ และตามมาตรา 6 ของพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 คณะกรรมการมีที่มาจากฝ่ายการเมืองจะขาดความเป็นอิสระ ขาดความคล่องตัว ขาดความรู้ความเชี่ยวชาญ ฉะนั้นจึงควรที่จะให้กรรมการต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ไม่น้อยกว่าสิบห้าปี ในสาขาวิชานิติศาสตร์ พาณิชยศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเงิน อุตสาหกรรม การบริหารธุรกิจหรือการบริหารราชการแผ่นดิน การคุ้มครองผู้บริโภค และจะต้องไม่เป็นผู้ถือหุ้น หรือเป็นผู้บริหารในสมาคมวิชาชีพ สมาคมการค้า หรือบริษัทใด ๆ ที่มีขนาดใหญ่กว่าเกณฑ์กำหนดหรือบริษัทมหาชน ก่อนที่จะมาเป็นกรรมการไม่น้อยกว่าห้าปีด้วย ตามมาตรา 25 ของพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 เรื่องผู้ประกอบการที่มีอำนาจเหนือตลาดมีหลักเกณฑ์รายได้ที่สูงเกินไปทำให้ผู้ประกอบการที่ถูกจับตามีน้อยเกิดการใช้อำนาจเหนือตลาดเป็นการเอาเปรียบผู้ประกอบการรายอื่นและก่อให้เกิดความเสียหายแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ดังนั้นจึงต้องลดขนาดของรายได้ลง นอกจากนั้น ตามมาตรา 26 เรื่องการควบรวมธุรกิจที่ไม่มีความชัดเจนของจำนวนรายได้ 2,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมาว่า คำนวณจากรายได้ของบริษัทเดียว หรือรวมถึงรายได้ของกลุ่มบริษัททั้งกลุ่ม ผู้วิจัยเห็นว่าควรมองอำนาจควบคุมที่แท้จริงทั้งกลุ่ม มิฉะนั้นจะเป็นช่องว่างของกฎหมายให้ผู้ประกอบการตั้งบริษัทใหม่ที่มีรายได้ต่ำเพื่อทำการรวมกิจการหลีกเลี่ยงการเป็นผู้มีอำนาจควบคุมตลาดได้ และการที่กำหนดให้ยอดเงินขาย/รายได้ ในปีที่ผ่านมาเป็นรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการเฉพาะสินค้าใดสินค้าหนึ่งหรือบริการใดบริการหนึ่ง จะมีบริษัทใดที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวนั้นย่อมจะเป็นไปได้ยาก ควรให้มีการกำหนดให้คำนวณรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการทั้งหมดของบริษัท และตามมาตรา 29 เรื่องการแข่งขันเป็นไปอย่างเสรีและเป็นธรรม คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าได้ถือแนวปฏิบัติของคำว่าเป็นธรรมนั้นเป็นลักษณะอย่างกว้าง ๆ ไม่สามารถใช้ได้จริง ควรที่จะให้ครอบคลุมประเด็นที่มีผลกระทบต่อผู้บริโภค หรือผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมากโดยตรงด้วย
  • รายการ
    ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความพึงพอใจของพนักงาน Outsourcing กรณีศึกษาบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
    (2557-11-26T12:45:38Z) ธัญญารัตน์ วิบูลย์ศิริภากร
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของพนักงาน Outsourcing. ของบริษัทการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จำกัด มหาชน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ หนักงาน Outsourcing จำนวน 340 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นแบบสอบถาม โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่คำถามที่เกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของผู้กรอกแบบสอบถาม คำถามวัดปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจในการปฎิบัติงานของพนักงาน Outsourcing โดยได้ทำการเก็บข้อมูลในเดือนพฤศจิกายน 2550 และทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยระบบ SPSS for Window สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติ โดยมีดัวแปรคือ เพศ อายุ สถานะภาพสมรส ประสบการณ์ในการทำงาน วุฒิการศึกษา และอัตราเงินเดือน ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชายจำนวน 187 คนคิดเป็น 55% และมีอายุระหว่าง 26-30 ปี เท่ากับ 31.18% สถานภาพโสดถึง 66.18% โดยมีประสบการณ์ทำงาน 1-3 ปี คิดเป็น 37.35% จบการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่าคิดเป็น 60.59% และมีอัตราเงินเดือน 12001-15000 บาท คิดเป็น 22.94% จากการศึกษาความพึงพอใจของพนักงาน Outsourcing ที่มีต่อการปฏิบัติงานนั้นพนักงาน Outsourcing ของการบริษัทการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จำกัด มหาชน มีความพึงพอใจในความมั่นคงในระดับงานมากที่สุด ส่วนด้านรองลงมาคือ ด้านเงินเดือนและสวัสดิการ ด้านสภาพการทำงาน ด้านนโยบายและการบริหารงาน ด้านการปกครองบังคับบัญชา ด้านโอกาสก้าวหน้าในการทำงาน ตามลำดับ
  • รายการ
    ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าออนไลน์ ศึกษากรณีสิทธิหน้าที่ของคู่สัญญาและผู้บริโภค
    (2557-11-26T12:36:23Z) จิราภา พงษ์พันธ์
    วัตถุประสงค์ในการศึกษาครั้งนี้สืบเนื่องมาจากสภาพสังคมในปัจจุบันการซื้อขายสินค้าได้เปลี่ยนแปลงไปโดยผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือที่เรียกว่า “การซื้อขายสินค้าออนไลน์” ผู้ซื้อและผู้ขายไม่ต้องเดินทางมาพบหน้ากัน เกิดความไม่เท่าเทียมกันระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ กล่าวคือ การซื้อสินค้าออนไลน์นั้นผู้ซื้อไม่เคยได้สัมผัสจับต้องสินค้ามาก่อน ผู้ซื้อตัดสินใจซื้อเพียงเพราะเห็นจากรูปภาพและรายละเอียดของสินค้าที่ผู้ขายได้ระบุไว้เท่านั้น ดังนั้นผู้ขายจึงเป็นผู้รู้ข้อมูลของสินค้ามากกว่าผู้ซื้อ ทำให้การรับรู้ข้อมูลสินค้าไม่เท่าเทียมกันระหว่างคนสองฝ่ายที่ได้ทำธุรกิจกันทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกัน กฎหมายในปัจจุบันที่นำมาปรับใช้ก็คือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ร่างขึ้นมาเพื่อใช้รองรับการทำธุรกรรมแบบดั้งเดิม จึงยังไม่มีความชัดเจน ก่อให้เกิดปัญหาทางกฎหมายหลายประการเช่น ปัญหาการให้ข้อมูลของคู่สัญญา ซึ่งยังไม่มีกฎหมายกำหนดว่าข้อมูลใดบ้างที่ผู้ขายจะต้องแจ้งให้ผู้ซื้อทราบก่อนการตัดสินใจเพื่อเข้าทำสัญญา ปัญหารูปแบบการทำสัญญาและการปฏิบัติตามสัญญา ผู้บริโภคไม่ได้รับสำเนาสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้บริโภคจะเก็บรักษาและพิมพ์ข้อมูลการซื้อขายเก็บไว้เป็นหลักฐานได้ และปัญหาอื่นๆที่เกี่ยวข้องที่ตามมา อาทิเช่น ผู้ซื้อไม่ทราบว่าจะได้รับสินค้าในวันใด หากผู้ซื้อไม่ได้รับสินค้าภายในกี่วัน ผู้ซื้อจึงจะมีสิทธิเลิกสัญญาและได้รับเงินคืนภายในกี่วัน ซึ่งตามกฎหมายปัจจุบันไม่ได้บัญญัติระยะเวลาที่ให้ความคุ้มครองผู้บริโภคในกรณีเหล่านี้ไว้ รวมทั้งหากเกิดข้อพิพาทขึ้นจะมีวิธีจัดการกับข้อพิพาทอย่างไรที่ผู้บริโภคไม่ต้องดำเนินคดีที่ศาลที่มีความเคร่งครัดและ ยุ่งยาก ประการสุดท้าย โทษของผู้กระทำความผิดที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่ได้ทำให้ผู้กระทำความผิดเกิดความเกรงกลัวแต่อย่างใด จึงมักเกิดปัญหาการทำผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา จึงจำเป็นต้องแก้ไขข้อบกพร่องของกฎหมายนี้ให้หมดไป ดังนั้นผู้เขียนขอเสนอแนะให้มีการการแก้ไขปรับปรุง พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 โดยการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522ในมาตรา 14 ให้มี “คณะกรรมการว่าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์” และให้มีบทบัญญัติในส่วนที่ 2 ตรี ในเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคในด้านการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้กฎหมายมีบทบัญญัติที่ให้ความคุ้มครองผู้บริโภคจากการทำธุรกรรมซื้อขายสินค้าออนไลน์ อันจะก่อให้เกิดหลักปฏิบัติที่มีความเท่าเทียมกันต่อคู่สัญญาและผู้บริโภค
  • รายการ
    ปัญหากฎหมายในการคุ้มครองสิทธิของผู้ซื้อในสัญญาซื้อขายรถยนต์ใหม่
    (2557-11-26T12:01:22Z) ธนดล ถนอมนิรชรชัย
    ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างผู้บริโภคผู้ซื้อรถยนต์ใหม่กับบริษัทผู้ขายรถยนต์ใหม่นั้นมีสาเหตุเกิดจากการไม่พยายามทาความเข้าใจกันเองของทั้งสองฝ่ายทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย และต่างก็ยึดถือข้อได้เปรียบเสียเปรียบของบทบัญญัติของกฎหมายที่มีใช้อยู่ ซึ่งตามระบบการค้าเสรีทาให้ผู้ซื้อและผู้ขายต่างฝ่ายต่างมีสิทธิเสรีภาพในการที่จะทาสัญญาซื้อขายได้อย่างคล่องตัว โดยอยู่ภายใต้หลักเสรีภาพของการแสดงเจตนา ดังนั้นในสารนิพนธ์นี้จะวิเคราะห์เกี่ยวกับสิทธิตามกฎหมายของผู้ซื้อรถยนต์ที่ชำรุดบกพร่อง ดังนี้ 1) สิทธิปฏิเสธการรับชำระหนี้ 2) สิทธิปฏิเสธการชำระราคา 3) สิทธิเรียกให้ผู้ขายซ่อมแซม 4) สิทธิเรียกให้ผู้ขายส่งมอบทรัพย์ใหม่ 5) สิทธิเรียกค่าเสียหาย 6) สิทธิเรียกราคาคืนหรือสิทธิเลิกสัญญา สิ่งนี้ทำให้บทบาทของหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคของภาครัฐในปัจจุบันก็ยังถูกมองว่าเป็นแค่ “เสือกระดาษ” ที่ไม่สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นและไม่สามารถทำการประสานความเข้าใจระหว่างผู้บริโภคและบริษัทรถยนต์ได้ จึงทำให้เกิดปัญหากับผู้บริโภคผู้ซื้อรถยนต์ใหม่ติดตามมาเช่นปัจจุบันนี้ จากที่กล่าวมาเกี่ยวกับความชำรุดบกพร่องในรถยนต์อาจจะต้องอาศัยสื่อมวลชนเป็นเครื่องมือในการร้องเรียนเนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายที่ใช้บังคับเฉพาะในกรณีที่พบปัญหารถยนต์ชำรุดบกพร่องเกิดขึ้นภายหลังที่มีการส่งมอบจากการซื้อขายรถยนต์ใหม่ จึงเป็นที่มาของการศึกษาเพื่อหามาตรการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับความชำรุดบกพร่องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้ครอบคลุมชัดเจนมากกว่าเดิม ผู้วิจัยเน้นศึกษาเฉพาะความชารุดบกพร่องตามบัญญัติกฎหมายไทยได้แก่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 472 มีใจความสาคัญว่า “…ผู้ขายต้องรับผิด...” ซึ่งกรณี ที่ผู้ขายต้องรับผิดนั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์วางหลักเกณฑ์ว่าด้วยความ รับผิดเพื่อชำรุดบกพร่องไว้กว้างๆ แต่เพียงว่าในกรณีที่ทรัพย์สินที่ขายชำรุดบกพร่อง ผู้ขายต้องรับผิด แต่ไม่ได้บัญญัติ ไว้ด้วยว่าที่ผู้ขายต้องรับผิดนั้น ต้องรับผิดอย่างไร ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของนักกฎหมายและศาลที่จะต้องตีความกฎหมายว่าด้วยความรับผิดของผู้ขายให้ได้ความกระจ่าง โดยอาศัยบทบัญญัติกฎหมายลักษณะ ซื้อขาย ลักษณะหนี้หลักทั่วไป และลักษณะสัญญาเป็นเครื่องช่วย ซึ่งในเบื้องต้นจะต้องทาความเข้าใจให้กระจ่างเสียก่อนว่า ความรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่องของผู้ขายนั้น แท้จริงก็คือความรับผิดเพื่อการไม่ ชำระหนี้นั่นเอง ทั้งนี้ เพราะหนี้ตามสัญญาซื้อขายนั้นหาได้จำกัดอยู่เฉพาะเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์และส่งมอบทรัพย์เท่านั้นไม่หากยังรวมไปถึงหนี้ส่งมอบทรัพย์โดยปราศจากความชารุดบกพร่องซึ่งเป็นหนี้ ที่กฎหมายลักษณะซื้อขายได้รับรองไว้เป็นพิเศษ การที่ผู้ขายโอนกรรมสิทธิ์และส่งมอบทรัพย์สินที่ขายแก่ผู้ซื้อยังไม่พอที่จะเรียกได้ว่าผู้ขายได้ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ก็เรียก ได้ว่าเป็นการไม่ชำระหนี้เหมือนกันสิทธิของผู้ซื้อก่อนที่จะดำเนินการทางกฎหมาย ในปัจจุบันจากปัญหาเกี่ยวกับความชำรุดบกพร่องของรถยนต์ซึ่งเมื่อผู้ซื้อไม่ได้รับการแก้ปัญหาด้วยความชอบธรรมก็ มักจะอาศัยสื่อมวลชนเป็นสื่อกลาง หากไม่ได้รับการเยียวยาแก้ไขให้ได้รับความชอบธรรมก็มีสิทธิที่จะนำเรื่องขึ้นฟ้องร้องต่อศาลได้ต่อไปตามสิทธิของผู้ซื้อผู้ศึกษาวิจัยได้ศึกษาผลกระทบในเรื่องนี้ และขอเสนอแนะให้แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของประเทศไทยที่เกี่ยวกับเรื่องความชำรุดบกพร่องในตัวทรัพย์ที่ชำรุดบกพร่อง ให้ครอบคลุมถึงทรัพย์ที่ไม่มีคุณสมบัติตามที่ผู้ขายได้โฆษณาไว้ รวมถึงกรณีที่ผู้ขายจัดทำคู่มือบกพร่องไม่สามารถทำให้ผู้ซื้อเข้าใจถึงวิธีการและขั้นตอนในการใช้ทรัพย์นั้นๆ สิ่งนี้เพื่ออุดช่องว่างของ กฎหมายไทยและแก้ไขปัญหาในการตีความกฎหมายเพื่อคุ้มครองผู้ซื้อให้ได้รับความเป็นธรรม และควรบัญญัติสิทธิของผู้ซื้อ กรณีที่เกิดความชำรุดบกพร่อง โดยระบุให้สิทธิผู้ซื้อเรียกให้ผู้ขายซ่อมแซม ทรัพย์ที่ชำรุดบกพร่อง หากผู้ขายไม่สามารถซ่อมแซมแก้ไขได้ ควรกาหนดว่าผู้ขายต้องรับผิดอย่างไรตามหลักกฎหมายของประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีที่ระบุความรับผิดของผู้ขายไว้อย่างชัดเจน มีรายละเอียดสาคัญคือ สามารถเรียกให้ผู้ขายซ่อมแซมรถยนต์ที่ชำรุดบกพร่องได้ 2 ครั้ง หากเรียกให้ผู้ขายซ่อมแซมรถยนต์ที่ชำรุดบกพร่องจานวน 2 ครั้งแล้วไม่ได้ผล ผู้ซื้อสามารถยกเลิกสัญญาหรือขอเปลี่ยนแปลงทรัพย์ใหม่ได้ หรือขอให้ลดราคาตามสัดส่วนได้หรือผู้ซื้อสามารถเรียกค่าเสียหายได้รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ผู้ซื้อต้องเสียไปเพราะเหตุทรัพย์ที่ซื้อเกิดความชำรุดบกพร่อง อาทิ ค่าขนส่ง ค่าแรงงาน ค่าลาเลียง ค่าใช้จ่ายในการฟ้องคดี ค่าเสียหายที่เกิดต่อร่างกายหรือจิตใจของผู้ซื้อ
  • รายการ
    ปัจจัยที่มีผลต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงาน กรณีศึกษาสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก
    (2557-11-26T09:16:32Z) ธกรศักดิ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร
    การศึกษาในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงาน เพื่อศึกษาความแตกต่างของปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยด้านภาวะผู้นำ ปัจจัยด้านแรงจูงใจในการทำงาน และปัจจัยด้านความผูกพันต่อองค์การที่มีผลต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงาน สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ พนักงานของสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก จำนวน 311 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการศึกษา สถิติที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วย การแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตฐาน การวิเคราะห์สถิติ t – test และ F-test(One Way ANOVA)และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า 1.ความแตกต่างด้านอายุ อายุการทำงานและรายได้เฉลี่ยต่อเดือนมีผลต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงานที่แตกต่างกัน โดยพบว่ากลุ่มที่มีอายุน้อยกว่า 25 ปี กลุ่มที่มีอายุงาน 50 ปีขึ้นไปและกลุ่มที่มีรายได้เฉลี่ยระหว่าง 30,001 – 40,000 บาท มีผลปฏิบัติงานที่สูงกว่ากลุ่มอื่นๆ 2.ปัจจัยแรงจูงใจในการทำงาน ด้านปัจจัยจูงใจมีผลต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงาน โดยพบว่าปัจจัยจูงใจมีผลเชิงบวกต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงาน กล่าวคือ เมื่อพนักงานได้รับแรงจูงใจในการทำงาน ในด้านปัจจัยจูงใจที่สูงขึ้นย่อมทำให้ผลการปฏิบัติงานของพนักงานสูงขึ้นตามไปด้วย โดยปัจจัยจูงใจในด้านความสำเร็จในการทำงาน การยอมรับนับถือ และลักษณะของงานที่ท้าทายมีค่าเฉลี่ยที่สูงที่สุด ตามลำดับ