ความสัมพันธ์ระหว่างระบบสารสนเทศที่มีผลต่อปัจจัยความสำเร็จของการจัดการระบบห่วงโซ่อุปทาน

Abstract

การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของระบบสารสนเทศที่มีผลต่อปัจจัยความสำเร็จของการจัดการระบบห่วงโซ่อุปทาน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ พนักงานโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ในเขตนิคมอุตสาหกรรม จังหวัดชลบุรี จำนวน 450 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มีลักษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการและแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าสถิติไค-สแควร์ (Chi-Square) และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson Product Moment Correlation) ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ช่วงอายุระหว่าง 25 – 30 ปี มีการศึกษาอยู่ระดับปริญญาตรี รายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 20,001 – 30,000 บาท ประเภทของระบบสารสนเทศที่ใช้งานโดยส่วนใหญ่คือระบบ SAP คิดเป็นร้อยละ 21.56 อันดับที่ 2 คือระบบ ERP + SAP คิดเป็นร้อยละ 19.11, อันดับที่ 3 คือระบบ ERP + MRP + SAP คิดเป็นร้อยละ 17.56, อันดับที่ 4 คือระบบ ERP + MRP คิดเป็นร้อยละ 14.00, อันดับที่ 5 คือระบบ MRP + SAP คิดเป็นร้อยละ 10.44, อันดับที่ 6 คือระบบ ERP คิดเป็นร้อยละ 7.78, อันดับที่ 7 คือระบบ OTHER (ระบบอื่น ๆ) คิดเป็นร้อยละ 6.22 และอันดับสุดท้ายคือระบบ MRP มีผู้ใช้ระบบนี้เพียงร้อยละ 3.33 เท่านั้น ความสัมพันธ์ระหว่างระบบสารสนเทศที่มีผลต่อปัจจัยความสำเร็จของการจัดการระบบห่วงโซ่อุปทาน ของพนักงานบริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในทุก ๆ ด้าน รวมทั้งคุณลักษณะของข้อมูลสารสนเทศก็มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับปัจจัยความสำเร็จของการจัดการระบบห่วงโซ่อุปทานด้วยเช่นกัน