S_CHO-09. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท
URI ถาวรสำหรับคอลเล็กชันนี้
เรียกดู
กำลังเรียกดู S_CHO-09. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท โดย เรื่อง "กฎหมาย"
ตอนนี้กำลังแสดง1 - 20 ของ 20
ผลลัพธ์ต่อหน้า
ตัวเลือกเรียงลำดับ
รายการ ปัญหากฎหมายการออกเอกสารสิทธิที่ดินบนเกาะตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 43 (พ.ศ.2537)(2553-06-05T08:59:03Z) ไชยา วิสุทธิปราณีการออกเอกสารสิทธิที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งในปัจจุบันคือโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นปัญหาสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากภาครัฐและเอกชนมีวัตถุประสงค์ตรงกันในการต้องการให้รัฐเร่งรัดออกเอกสารสิทธิในที่ดินให้กับประชาชนผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินโดยเร่งด่วนเพื่อรับรองคุ้มครองสิทธิเจ้าของที่ดิน เป็นการป้องกันการโต้แย้งสิทธิในทรัพย์สินและเพื่อเป็นหลักทรัพย์ในการประกอบอาชีพของประชาชนแต่ด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการออกเอกสารสิทธิที่ดิน ซึ่งบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน กฎกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินและประมวลกฎหมายที่ดิน ระเบียบคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติประกอบกับกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กฎหมายเกี่ยวกับการป่าไม้ กฎหมายว่าด้วยการจัดที่ดิน เป็นต้น ทำให้เกิดปัญหาในการออกเอกสารสิทธิให้กับประชาชน ซึ่งครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินมาก่อนประมวลกฎหมายที่ดิน วิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษาปัญหาการออกโฉนดที่ดินที่ดินบนเกาะ ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 43 (พ.ศ.2537) เนื่องจากกฎกระทรวงดังกล่าวตามข้อ 14 (3) กำหนดเงื่อนไขเด็ดขาดว่าห้ามมิให้ออกโฉนดที่ดินสำหรับที่เกาะที่ไม่มีหลักฐานแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) ใบจองใบเหยียบย่ำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โฉนดตราจอง ตราจองที่ตราว่าได้ทำประโยชน์แล้วจึงเป็นการตัดสิทธิผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินอยู่ก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ โดยไม่เปิดโอกาสให้มีการพิสูจน์สิทธิในที่ดินนั้นๆ ในการที่จะขอออกโฉนดที่ดินตามมาตรา 59 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินได้เหมือนเช่นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินที่มิใช่ที่เกาะ เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินบนเกาะ ซึ่งผลของการออกกฎกระทรวงดังกล่าวเท่ากับเป็นการยกเลิกมาตรา 59 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินไปโดยปริยายสำหรับที่ดินบนเกาะ จากการศึกษาพบว่าโดยปกติทั่วไปหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขในการออกเอกสารสิทธิที่ดิน หากเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตามระเบียบ กฎหมาย โดยเคร่งครัดแล้วก็มิใช่เรื่องง่ายๆ ในการพิจารณาออกเอกสารสิทธิที่ดินแต่ละแปลงตามมาตรา 59 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน โดยเฉพาะ ที่ดินบนเกาะ ซึ่งโดยสภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาหรือเขตปริมณฑลรอบเขา 40 เมตรหรือที่มีความลาดชันเกินร้อยละ 35 หรือบางเกาะอาจอยู่ในเขตของป่าไม้หรือเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ซึ่งที่ดินลักษณะดังกล่าวไม่อยู่ในหลักเกณฑ์การออกเอกสารสิทธิอยู่แล้ว ดังนั้น การที่รัฐออกกฎกระทรวงฉบับที่ 43 (พ.ศ.2537) มากำหนดเงื่อนไขเด็ดขาดจึงเป็นการตัดสิทธิประชาชนผู้ครอบครองที่ดินบนเกาะมาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินในการที่จะขอออกโฉนดที่ดิน ตามมาตรา 59 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ทั้งที่ก่อนมีกฎกระทรวงดังกล่าวสามารถดำเนินการได้จึงเป็นการไม่ยุติธรรมสำหรับประชาชน อีกทั้งกฎกระทรวงนี้ยังเป็นการยกเลิกมาตรา 59 ทวิ มิให้ใช้สำหรับที่ดินบนเกาะโดยปริยายเห็นควรแก้ไขกฎกระทรวงดังกล่าว เพื่อความเป็นธรรมและเปิดโอกาสให้ประชาชนได้พิสูจน์สิทธิของตน ตามมาตรา 59 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เช่นเดียวกับผู้ครอบครองที่ดินทั่วไปรายการ ปัญหากฎหมายคุ้มครองแรงงา: ศึกษากรณีการย้ายสถานประกอบกิจการของนายจ้าง เวลาพักและสัญญาจ้างมีกำหนดเวลาซึ่งมิใช่เป็นธุรกิจปกติของนายจ้าง(2553-05-18T09:11:36Z) ประเสริฐศักดิ์ ทึมหลวงวิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหากฎหมายคุ้มครองแรงงาน โดยศึกษาเฉพาะกรณีการย้ายสถานที่ประกอบกิจการของนายจ้าง การจัดเวลาพักและการจ้างงานแบบมีกำหนดเวลา ซึ่งมิใช่เป็นธุรกิจปกติของนายจ้าง ตามที่พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ได้บัญญัติคุ้มครองลูกจ้างไว้ ว่ากฎหมายขาดความเหมาะสมหรือมีจุดบกพร่องใดที่ควรแก้ไขให้ครอบคลุมปัญหาในทางปฎิบัติเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้งนายจ้างและลูกจ้างรวมถึงสังคมการใช้แรงงานของประเทศไทย จากการศึกษาพบว่าการย้ายสถานประกอบกิจการของนายจ้างไปตั้ง ณ ที่แห่งอื่นอันเป็นเหตุให้ลูกจ้างได้รับผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตของตนเองหรือครอบครัวและลูกจ้างไม่ประสงค์ย้ายไปทำงานกับนายจ้าง ณ สถานประกอบกิจการแห่งใหม่นั้น สามารถยกเลิกสัญญาจ้างกับนายจ้างและขอรับค่าชดเชยจากนายจ้างตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 118 ของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ได้ แต่ในทางปฎิบัติไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการพิจารณาว่าลูกจ้างที่จะยกเลิกสัญญาจ้างได้นั้นจะต้องได้รับผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของตนเองหรือครอบครัวมากน้อยเพียงใดจึงยกเลิกสัญญาได้ จึงทำให้นายจ้างใช้เป็นเหตุในการปฎิเสธการยกเลิกสัญญากับลูกจ้างได้ และพบว่ากฎหมายมิได้คุ้มครองไปถึงการย้ายสถานที่ทำงานของลูกจ้างไปทำงาน ณ ที่แห่งอื่นที่นายจ้างมีอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งลูกจ้างเหล่านั้นได้รับผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของตนเองหรือ ครอบครัวไม่อาจยกเลิกสัญญาและขอรับค่าชดเชยพิเศษได้ จึงเป็นช่องว่างของกฎหมายให้นายจ้างที่จะปฎิเสธการจ่ายค่าชดเชยพิเศษ ทำการตั้งสถานประกอบกิจการ ณ ที่แห่งอื่นก่อนที่จะสั่งย้ายลูกจ้างไปทำงาน ทำให้ลูกจ้างเสียสิทธิในการยกเลิกสัญญาและเสียสิทธิในการรับค่าชดเชยตามที่กฎหมายกำหนดไว้ และในเรื่องการจัดเวลาพักให้ลูกจ้าง พบว่ากฎหมายมิได้มีข้อกำหนดห้ามมิให้นายจ้างออกระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งจำกัดสิทธิและเสรีภาพของลูกจ้าง ทำให้ลูกจ้างขาดอิสระในการใช้ชีวิตส่วนตนในระหว่างเวลาพักตามเจตนารมณ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ รวมถึงประเด็นปัญหาสัญญาจ้างแบบมีกำหนดเวลาในงานซึ่งมิใช่ธุรกิจปกติของนายจ้าง ลูกจ้างเหล่านี้โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ด้อยโอกาสทางสังคมในการหางานทำประจำไม่ได้ จึงยินยอมรับทำงานแบบสัญญาจ้างมีกำหนดเวลา แต่ลูกจ้างเหล่านี้ไม่ได้รับความคุ้มครองในเรื่องการจ่ายค่าชดเชย ตามที่พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานกำหนด เพราะกฎหมายคุ้มครองไม่ถึง การคุ้มครองแรงงานสัญญาจ้างงานลักษณะนี้ออกไปแตกต่างจากการจ้างงานในธุรกิจปกติ โดยลักษณะงานเช่นนี้จะมีความใกล้เคียงกันกับงานในปกติของธุรกิจของนายจ้าง ทำให้ลูกจ้างไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการคุ้มครองแรงงานจากรัฐอย่างเท่าเทียมกัน จึงไม่สอดคล้องกับหลักการคุ้มครองสิทธิของบุคคลที่จะได้รับจากรัฐตามที่กำหนดเอาไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2550 มาตรา 30 ในวิทยานิพนธ์เล่มนี้ผู้เขียนได้เสนอแนวทางแก้ไขไว้สามประการ โดยให้แก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 120 ให้มีหลักพิจารณาผลกระทบของลูกจ้างที่จะยกเลิกสัญญาจ้างกับนายจ้างไว้อย่างชัดเจนและให้คุ้มครองไปถึงกรณีการย้ายลูกจ้างไปทำงานในสถานประกอบกิจการอื่นๆ ที่นายจ้างมีอยู่แล้วด้วย และให้แก้ไขมาตรา 27 วรรคแรกโดยการเพิ่มเติมข้อห้ามมิให้นายจ้างออกระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน หรือคำสั่งจำกัดสิทธิและเสรีภาพลูกจ้างในระหว่างเวลาพัก เว้นแต่มีเหตุอันสมควรและได้รับความยินยอมจากลูกจ้างและได้เสนอให้ยกเลิกมาตรา 118 วรรคสามและวรรคสี่ ของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 เพื่อให้การคุ้มครองลูกจ้างที่ทำสัญญาจ้างแบบมีกำหนดเวลาในงานที่มิใช่ธุรกิจปกติหรือทางการค้าของนายจ้างให้ได้รับความคุ้มครองอย่างเท่าเทียมกันเหมือนกับสัญญาจ้างในงานที่เป็นธุรกิจปกติหรือทางการค้าของนายจ้าง อันจะก่อให้เกิดความเป็นธรรมในการใช้แรงงานมากยิ่งขึ้นเดิมรายการ ปัญหากฎหมายที่ตราโดยคณะปฏิวัติเปรียบเทียบกฎหมายที่ตราโดยรัฐสภา(2553) อดุลย์ ทานาราชกฎหมายเป็นบทบัญญัติซึ่งผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศได้ตราขึ้นไว้ เพื่อใช้ในการบริหารการบ้านการเมือง และบังคับบุคคลในความสัมพันธ์ระหว่างกัน ผู้ใดฝ่าฝืนต้องได้รับโทษหรือต้องถูกบังคับให้ปฏิบัติตาม กฎหมายจึงเป็นกฎเกณฑ์ที่กำหนดแบบแผนความประพฤติของมนุษย์ในสังคมและเป็นหลักในการปกครองบ้านเมือง ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันแต่เริ่มต้นว่า “กฎหมาย” ต้องเป็นสิ่งที่เปิดเผยให้ทุกคนรู้ นอกจากนั้นกฎหมายยังเป็นสิ่งที่นำมาพิเคราะห์พิจารณาและศึกษาด้วยเหตุผลได้ เนื่องจากกฎหมายเป็นศาสตร์แห่งบรรทัดฐาน (normative science) ซึ่งเป็นข้อกำหนดที่ทุกคนยอมรับและประพฤติปฏิบัติตาม และในช่วง 77 ปีของประวัติศาสตร์การเมืองของไทย มีการปฏิวัติและตรากฎหมายมาบังคับใช้เป็นจำนวนมากทั้งกฎหมายที่เป็นธรรมและไม่เป็นธรรม โดยรัฐบาลพลเรือน และรัฐบาลทหาร ลักษณะของกฎหมายที่ไม่เป็นะรรมนั้นก็มีอยู่หลายประการ นับตั้งแต่การบัญยัติตั้งศาลพิเศษขึ้นพิจารณาพิพากษาปรปักษ์ทางการเมือง การบังคับใช้กฎหมายย้อนหลังต่อบุคคล การตัดรอนสิทธิเสรีภาพของจำเลยในการตั้งทนายขึ้นต่อสู้คดี รวมทั้งการตัดสิทธิในการอุทธรณ์ฎีกา การตรากฎหมายมอบอำนาจตุลาการหรือนิติบัญญัติแก่ฝ่ายบริหาร เปิดช่องให้มีการจับกุมคุมขังหรือเนรเทศโดยพลการ การตรากฎหมายให้อำนาจสูงสุดแก่นายกรัฐมนตรีในการลงโทษบุคคลโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม การริดลอนสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพิมพ์หรือการโฆษณา การจำกัดเสรีภาพด้านแรงงาน รวมทั้งการออกกฎหมายต่อต้านการกระทำอันเป้นคอมมิวนิสต์ในการต่อสู้หรือวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมเหล่านั้น จากการศึกษาทำให้ทราบว่ากฎหมายที่ใช้ในการปกครองประชาชนในรัฐหรือประเทศนั้นโดยทั่วไปแล้วจะมี 2 ลักษณะคือ ลักษณะที่เป็น will กฎหมายที่เกิดขึ้นจากความต้องการของผู้ปกครองเพียงคนเดียวหรือกลุ่มเดียว กับ general will กฎหมายที่เกิดขึ้นจากเจตจำนงร่วมกันของประชาชน กฎหมายที่มีลักษณะเป็น will รัฐาธิปัตย์ได้อำนาจมาโดยการใช้กำลังหรืออาวุธเข้ายึดเอา กฎหมายออกได้ทันที ลงนามโดยหัวหน้าคณะปฏิวัติ เป็นกฎหมายที่ออกตามอำเภอใจ เปลี่ยนแปลงง่ายตามความต้องการของผู้ออก ขาดความเป็นธรรม เอาแต่ผลประโยชน์ตนฝ่ายเดียว ไม่คำนึงถึงประโยชน์คนส่วนรวมหรือประโยชน์ของประชาชน ไม่เคารพหลักประชาธิปไตย ไม่เคารพหลักนิติรัฐ ส่วนกฎหมายที่มีลักษณะเป็น general will นั้น รัฐาธิปัตย์ได้อำนาจมาจากการเลือกตั้งของประชาชน กฎหมายผ่านกระบวนการนิติบัญญัติในระบบรัฐสภา โดยพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย อำนาจจึงเป็นของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชน ซึ่งมีความแตกต่างกับพระปรมาภิไธยในประกาศหรือคำสั่งของคณะปฏิวัติ เพราะเหตุที่ทรงลงพระปรมาภิไธยในประกาศหรือคำสั่งนั้นเป็นไปตามเจตจำนงของคณะผู้ก่อการที่จะยืนยันเจตนารมณ์ของตนว่าถึงแม้จะได้ทำการยึดอำนาจรัฐไว้ได้เป็นผลสำเร็จและเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็ยังคงดำรงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อให้กฎหมายที่ใช้ในการปกครองประเทศเกิดจากเจตจำนงร่วมกันของประชาชนจึงมีข้อเสนอแนะว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนต้องไม่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่คณะปฏิวัติ องค์กรต่าง ๆ ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยต้องมีความเป็นอิสระและแยกออกจากกันโดยเด็ดขาด องค์กรตุลาการที่เป็นหนึ่งในสามองค์กรซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนของประชาชนในการปกครองระบอบประชาธิปไตย และเป็นองค์กรเดียวที่ยังคงอยู่หลังการฏิวัติต้องมีแนวคำพิพากษาฎีกาที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำปฏิวัติ เพื่อให้เห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการผิดกฎหมายและต้องได้รับการลงโทษ และรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนไม่ควรนำกฎหมายที่ออกโดยคณะปฏิวัติมาใช้ในการบริหารประเทศ ไม่ว่ากฎหมายนั้นจะเกิดประโยชน์มากน้อยเพียงใดก็ตามเพราะถือว่ากฎหมายดังกล่าวไม่ได้เกิดจากเจตจำนงร่วมกันของประชาชน คณะปฏิวัติไม่ควรนำคำสั่งหรือประกาศขึ้นทูลเกล้าฯ พระมหากษัตริย์เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยเหมือนกับกฎหมายที่ตราโดยรัฐสภารายการ ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับการจัดการศึกษาของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน(2553-05-18T09:04:45Z) ชนินท์วิชญ์ แสงสุวรรณวิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงสถานภาพกฎหมายเกี่ยวกับการจัดการศึกษาของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนหลังจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 และ พ.ศ.2550 ซึ่งมีการใช้บังคับ ได้กำหนดแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาแห่งชาติ มีการกระจายอำนาจการบริหารการจัดการศึกษาให้แก่ชุมชนและท้องถิ่นได้มีโอกาสส่วนร่วมในการบริหารจัดการเกี่ยวกับการจัดการศึกษา เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไขปรับปรุง พ.ศ.2545 รวมทั้งระเบียบและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำให้ทราบถึงปัญหาและอุปสรรคการดำเนินงานการจัดการศึกษาของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งทำให้มีผลกระทบโดยตรงเกี่ยวกับสถานภาพความเป็นนิติบุคคลจึงเกิดปัญหา หลายประการ อาทิเช่น สถานภาพความเป็นนิติบุคคลของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนซึ่งยัง ไม่มีกฎหมายรับรองสถานภาพให้เป็นนิติบุคคล ปัญหาเกี่ยวกับการบริหารงาน ปัญหาในด้านงบประมาณ ขาดความคล่องตัวในการบริหารจัดการไม่สามรถดำเนินการไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งปัญหาเกี่ยวกับ การประกันคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา ข้อมูลที่ค้นพบในการจัดทำวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับความเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อมีกฎหมายกำหนดขอบเขต อำนาจหน้าที่และให้อำนาจอิสระคล่องตัว เกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการศึกษาทั้งในด้านงบประมาณและการบริหารงาน และการใช้อำนาจตามกฎหมาย อำนาจในการตัดสินใจที่เบ็ดเสร็จภายในหน่วยงาน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการบริการสาธารณะการพัฒนาเยาวชนเกี่ยวกับการศึกษา ดังนั้นวิทยานิพนธ์ฉบับนี้จึงมีข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไขว่าควรมีกฎหมายกำหนดให้โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนที่ได้รับพระราชทานแล้วเป็นนิติบุคคล โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเป็นองค์การมหาชนด้านการศึกษา ซึ่งข้อเสนอแนะที่สำคัญอีกประการคือ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน จะต้องจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาพื้นฐานของกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อมีหน้าที่ในการกำกับดูแล ติดตามและประเมินผลการศึกษาตลอดจนการพัฒนาปรับปรุงการจัดการศึกษาของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนทั่วประเทศในด้านการบริหารงานควรมีการบริหาร โดยใช้โรงเรียนเป็นฐานกระจายอำนาจการบริหารและจัดการศึกษาจากส่วนกลางลงไปสู่โรงเรียนหรือสถานศึกษาโดยตรง มีความอิสระและคล่องตัวในการบริหารจัดการศึกษา พัฒนาบุคลากรในด้านวิชาการ สามารถนำผลงานวิชาการเพื่อ เลื่อนวิทยฐานะหรือปรับให้สูงขึ้นเหมือนหน่วยงานการศึกษาสังกัดอื่น ด้านงบประมาณสามารถตั้ง และรับงบประมาณเอง โดยเสนอผ่านหน่วยงานต้นสังกัดเพื่อให้การบริหารงบประมาณพัฒนาให้ ครูตำรวจตระเวนชายแดนต้องมีใบประกอบวิชาชีพครูและวุฒิปริญญาด้านการศึกษา เพื่อให้เกิด ประสิทธิภาพในการบริการสาธารณะเป็นที่ยอมรับในสังคมและในด้านการประกันคุณภาพการ จัดการศึกษาตลอดจนมาตรฐานของครูตำรวจตระเวนชายแดน ประเด็นสุดท้ายที่ขอเสนอแนะคือ ถ้าหากไม่สามารถมีกฎหมายรองรับสถานภาพของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนตามกฎหมาย ว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติบัญญัติไว้ ก็เห็นควรถ่ายโอนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนให้กับ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นบริหารการจัดการศึกษา เพื่อให้การจัดการศึกษามีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น อันเป็นประโยชน์สูงสุดต่อเยาวชนและประเทศชาติต่อไปรายการ ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับการทำธุรกิจสถานรับดูแลผู้สูงอายุ(2552-08-28T08:23:42Z) เกศมณี มณีรัตนอมรด้วยสภาพของสังคมในปัจจุบันมีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต กล่าวคือ แต่เดิมในการดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นบิดามารดา ปู่ย่า ตายาย ก็จะได้รับการดูแลเลี้ยงดูจากบุตรหลานเป็นอย่างดี จนกระทั่งกลายเป็นวัฒนธรรมที่ดีงาม ส่วนผู้ที่ดูแลเลี้ยงดูบุคคลดังกล่าวก็จะได้รับการยกย่องว่าเป็นบุตรที่ดี มีความกตัญญูกตเวที ผลของอิทธิพลทางวัฒนธรรมดังกล่าวก็ทำให้มีการบัญญัติกฎหมายแพ่งขึ้นอย่างสอดคล้องกัน โดยได้กำหนดว่าบิดามารดามีหน้าที่ให้การอุปการะเลี้ยงดูบุตร ส่วนบุตรก็มีหน้าที่ในการอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาดุจเดียวกัน แต่เมื่อสภาพของสังคมมีความเปลี่ยนแปลงจากสังคมเกษตร ไปเป็นสังคมอุตสาหกรรม บุตรหลานที่เข้าสู่วัยทำงานก็จะออกจากบ้านเข้าสู่เมืองอุตสาหกรรมเพื่อทำงาน ปล่อยให้บิดามารดา ปู่ย่า ตายาย ที่เป็นผู้สูงอายุอยู่บ้านโดยลำพังปราศจากผู้ดูแล และถูกทอดทิ้ง ซึ่งการดูแลผู้สูงอายุในปัจจุบันจึงมีทั้งการดูแลในสถาบันครอบครัว องค์กรธุรกิจภาคเอกชน และหน่วยงานของรัฐเป็นผู้ดูแล สำหรับการดูแลผู้สูงอายุโดยหน่วยงานของรัฐนั้น แม้ว่ารัฐจะไม่มีหน้าที่โดยเฉพาะเจาะจง ในการดูแลผู้สูงอายุก็ตาม แต่การดูแลให้การช่วยเหลืออุปการะผู้สูงอายุ ถือว่าเป็นสวัสดิการอย่างหนึ่งที่รัฐจะต้องจัดให้มีขึ้น แต่ด้วยค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้สูงอายุนั้นมีอยู่อย่างจำกัด ซึ่งมีไม่เพียงพอต่อการให้บริการแก่ผู้สูงอายุได้อย่างทั่วถึง ขาดประสิทธิภาพ และผู้สูงอายุบางส่วนไม่อาจเข้าถึงการให้บริการได้ จากสภาพปัญหาดังกล่าวจึงทำให้เกิดธุรกิจสถานรับดูแลผู้สูงอายุ โดยองค์กรธุรกิจภาคเอกชนขึ้น โดยเข้ามาให้บริการกับผู้สูงอายุที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี ทั้งนี้ในการดูแลผู้สูงอายุโดยองค์กรภาคเอกชนโดยทั่วไปแล้ว จะมีลักษณะของการให้บริการแบ่งเป็น 2 ประเภท คือการรับดูแลผู้สูงอายุ เข้าดูแลในสถานประกอบการ และกรณีการจัดหาหรือส่งพนักงานไปดูแลผู้สูงอายุตามบ้านพัก ด้วยเหตุที่เป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่จึงส่งผลทำให้เกิดปัญหาการบังคับตามสัญญา ปัญหาภาระการพิสูจน์ความเสียหายที่เกิดจากการทำธุรกิจ ปัญหาการควบคุม กำกับดูแลการประกอบธุรกิจ และปัญหาเกี่ยวกับบทลงโทษ ที่เป็นมาตรการในการควบคุมภาคเอกชนในการการเข้ามาดำเนินธุรกิจสถานรับดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ โดยหลักแล้วเกิดจากการไม่มีกฎหมายเฉพาะ และขณะเดียวกันกฎหมายที่มีอยู่ยังไม่ครอบคลุมถึงการประกอบธุรกิจในลักษณะเช่นนี้ ฉะนั้นเพื่อให้ปัญหาเหล่านี้ได้รับการแก้ไข จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการที่จะมีกฎหมาย เฉพาะสำหรับการประกอบธุรกิจสถานรับดูแลผู้สูงอายุขึ้น เพื่อสนับสนุน รองรับ การทำธุรกิจสถานรับดูแลผู้สูงอายุให้มีประสิทธิภาพ มีมาตรฐานสากล และนำไปสู่การพัฒนาเป็นเกณฑ์มาตรฐานในประเทศไทยต่อไปรายการ ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจโรงเรียนนานาชาติ: ศึกษากรณีการประกอบวิชาชีพครูซึ่งเป็นคนต่างด้าว(2551-02-13T08:21:27Z) ศักดิ์ชาย สว่างสาลีการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัญหาเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพครูซึ่งเป็นคนต่างด้าวในประเทศไทย ตลอดจนเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว ผลการศึกษา พบว่าการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพครูซึ่งเป็นคนต่างด้าว เกิดจากการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในปัจจุบัน และขอยกหัวข้อข่าวเกี่ยวกับครูคนต่างด้าวเป็นกรณีศึกษา เช่นคดีที่เกี่ยวกับหัวข้อข่าวกรณี “ครูฝรั่งโรงเรียนสาธิตชื่อดังก่อคดี “ตุ๋ยเด็ก” และหัวข้อข่าว “จับฆาตกรก้องโลกฆ่าหนูน้อย 6 ขวบ–นางงามเด็ก” ถึงแม้รัฐจะมีการป้องกันและควบคุม โดยกำหนดกฎเกณฑ์ เงื่อนไขต่างๆ ขึ้นมาเพื่อดูแลการทำงานของคนต่างด้าวเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพครู แต่การบังคับใช้กฎหมายยังไม่ครอบคลุม จึงเกิดประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพครูซึ่งเป็นคนต่างด้าว ได้แก่ (1) ปัญหาการอนุญาต ระยะเวลาการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร การเพิกถอนการอนุญาต (2) ปัญหาความไม่ชัดเจนของพระราชกฤษฎีกาตามพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2521 (3) ปัญหาตัวครูซึ่งเป็นคนต่างด้าว แต่อย่างไรก็ตามเมื่อศึกษาถึงปัญหาทางกฎหมายอย่างละเอียดแล้วยังพบปัญหาการขอรับใบอนุญาตทำงานจากกรมการจัดหางาน การขอใบอนุญาตให้เป็นครู การขอรับใบอนุญาตบรรจุครูซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบคุณวุฒิ และคุณสมบัติต้องห้ามหรือไม่ เป็นบุคคลที่มีพฤติการณ์ที่เป็นภัยต่อความมั่นคง หรือขัดต่อความสงบสุขหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเป็นบุคคลต้องห้ามหรือไม่ ที่จะต้องได้รับการแก้ไขโดยเร็ว ผลการวิเคราะห์จากการที่ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายที่ครอบคลุมถึงมาใช้บังคับ ในส่วนที่เกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพครูซึ่งเป็นคนต่างด้าว และปัญหาสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือมาตรการการควบคุมคนต่างด้าว หากไม่มีการตรวจสอบจนเป็นที่แน่นอนเสียก่อนเกี่ยวกับตัวครูซึ่งเป็นคนต่างด้าว อาจทำให้ใครก็ได้ที่เป็นคนต่างด้าวที่เป็นฆาตกร บุคคลต้องห้ามหรือบุคคลที่ไม่พึ่งปรารถนาแอบแฝงเข้ามาเป็นครูสอนหนังสือภายในประเทศ และเป็นแหล่งหลบซ่อนของคน ต่างด้าวที่กระทำผิดกฎหมาย ผู้เขียนเห็นว่า ปัญหาดังกล่าวมีลักษณะที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายและสภาพปัญหาในปัจจุบัน จึงสมควรแสวงหามาตรการทางกฎหมาย และประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องหามาตรการควบคุมป้องกันเกี่ยวกับตัวครูซึ่งเป็นคนต่างด้าว เพื่อปิดช่องว่างของกฎหมาย หรือแก้ไข ปรับปรุงให้มีความชัดเจน โปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน และเป็นการแก้ไขในระยะยาวต่อไปรายการ ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับการยุบพรรคการเมืองของศาลรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550(2553-05-29T07:09:25Z) คมกฤช ล้นหลามวิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาถึง ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับการยุบพรรคการเมืองของศาลรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวนี้ ได้ถูกยกร่างขึ้นบนสถานการณ์ที่ต้องการจะนำพาประเทศไปสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ โดยจะจัดให้มีการเลือกตั้งครั้งต่อไป เพื่อแก้ปัญหาของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ที่หลายฝ่ายเห็นว่าก่อให้เกิดการผูกขาดอำนาจรัฐและการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งระบบการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐที่ล้มเหลว การใช้สิทธิและเสรี ภาพของประชาชนยังไม่ได้รับการคุ้มครองและส่งเสริมอย่างเต็มที่แต่เนื่องจากว่ารัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว ได้เกิดขึ้นภายหลังจากการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 โดยสภาร่างรัฐ ธรรมนูญที่มาจากกระบวนการดำเนินการของคณะรัฐประหาร บทบัญญัติหลายประการที่ปรากฏ ในรัฐธรรมนูญนี้ถูกบัญญัติโดยมีความคิดที่จะให้สังคมต่างเชื่อว่าจะพยายามแก้ไขข้อบกพร่องของรัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ.2540 ที่ให้อำนาจของฝ่ายบริหารในรัฐบาลที่ผ่านมามากมายแต่การบังคับใช้กลับทำให้สังคมบางส่วนเห็นว่า มีความพยายามที่จะนำเอาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ.2550 มาเป็นเครื่องมือในการกำจัดฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับคณะรัฐประหารเสียมากกว่าไม่ว่าจะเป็นกรณีการพิจารณาตัดสินยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคและใช้มาตรการการลงโทษพรรคการเมืองและผู้บริหารพรรคการเมืองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 237 ประกอบมาตรา 68 จะเห็นว่ากลุ่มการเมืองโดยเฉพาะในฝ่ายของอดีตรัฐบาลก่อนรัฐประหารถูกองค์กรต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยโดยผ่านกระบวนการยุติธรรมจนรัฐบาลต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปโดยผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเดียวกันซึ่งถ้าการใช้อำนาจและการใช้ดุลยพินิจในการวินิจฉัยขององค์กรตุลาการ หากไม่ปรากฏภาพชัดว่าตั้งอยู่บนครรลองของความยุติธรรม หรืออาจเป็นไปด้วยความด้อยเหตุผลหรือไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย คำพิพากษาดังกล่าวนี้ก็จะกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่เข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือสมาชิกของพรรคการเมืองจนขาดความสมบูรณ์และขาดความเหมาะสม เพราะเมื่อมีการยุบพรรคการเมืองและล่วงเลยไปถึงการเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งของบุคคลในพรรคที่มิได้มีส่วนรู้เห็นเหตุแห่งการยุบพรรคนั้นด้วยแล้วก็จะทำให้บุคลากรในส่วนที่มีความรู้ความสามารถที่กำลังขับเคลื่อนพลวัตรความก้าวหน้าของประเทศไปสู่สังคมโลกและเป็นกำลังหลักสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติทั้งทางด้านเศรษฐกิจสังคมและการเมืองเป็นอันสะดุดหยุดลงประกอบกับการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนั้นย่อมไปกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคลในการเลือกตั้งเพราะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 72 ได้กำหนดให้การใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นหน้าที่ ดังนั้นหากคำพิพากษาของศาลห้ามมิให้ไปใช้สิทธิการเลือกตั้งด้วยแล้วก็ไม่ทราบว่าคำพิพากษาดังกล่าวจะชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ซึ่งผู้วิจัยเห็นว่าจะอย่างไรก็ตามเมื่อมีรัฐธรรมนูญก็ต้องมีศาลรัฐธรรมนูญ การจะก้าวถอยหลังโดยไม่มีการตั้งองค์กรใดมาทำหน้าที่วินิจฉัยเพียงเพราะขาดตุลาการที่เป็นกลางคงจะเป็นการแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ส่วนอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญในการยุบพรรคต้องไปแก้ไขในรัฐธรรมนูญ กำหนดให้พรรคการเมืองถูกยุบได้ในกรณีที่ร้ายแรงจริงๆ เช่น ได้กระทำการที่มีลักษณะเป็นการล้มล้างหรืออาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือกระทำการอันอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐหรือขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบ ร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายพรรคการเมืองอย่างร้ายแรงที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐหรือตามที่กฎหมายบัญญัติไว้รายการ ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับการโอนกิจการของนักลงทุนมาเป็นของรัฐ: ศึกษากรณีการโอนอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นกิจการในส่วนที่เหลือ(2552-08-28T09:05:26Z) ชัชทพงษ์ เชื้อดีวิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาถึงปัญหาทางกฎหมายที่เกิดจากพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ.2520 โดยรัฐได้ให้หลักประกันในการลงทุนของนักลงทุนที่ได้รับการส่งเสริมไว้ว่า “รัฐจะไม่โอนกิจการของผู้ได้รับการส่งเสริมมาเป็นของรัฐ” แต่ในความจริงนั้น กิจการของนักลงทุนอาจถูกโอนมาเป็นของรัฐได้ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 42 ทำให้เกิดปัญหาความไม่มั่นใจของนักลงทุนที่มีต่อพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ.2520 ซึ่งเป็นปัญหาต่อการส่งเสริมการลงทุน เมื่อมีการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ของนักลงทุนไปทั้งหมดและจ่ายค่าสินไหมทดแทนความเสียหายให้กับนักลงทุนก็ไม่ทำให้เกิดปัญหา แต่เมื่อกิจการของนักลงทุนถูกเวนคืนไปแต่เพียงบางส่วนทำให้อสังหาริมทรัพย์ส่วนที่เหลือไม่สามารถประกอบกิจการตามวัตถุประสงค์ต่อไปได้ ทำให้นักลงทุนไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงควรมีกฎหมายให้เยียวยาความเสียหายอันเกิดแก่นักลงทุน จากการศึกษาพบว่าการใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 ที่นำมาใช้เป็นกฎหมายกลางในการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นกิจการส่วนที่เหลือของนักลงทุนนั้น พระราชบัญญัติฉบับนี้มิได้มีเจตนารมณ์ที่บัญญัติมาเพื่อเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นกิจการ แต่บัญญัติขึ้นมาเพื่อใช้ในการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์หรือสิ่งปลูกสร้างทั่วไป ทำให้การใช้พระราช- บัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์นั้น มีผลทำให้นักลงทุนไม่ได้รับค่าทดแทนที่เป็นธรรม และไม่มีองค์กรที่กำหนดค่าทดแทนโดยตรง รวมทั้งไม่มีมาตรฐานในการกำหนดค่าสินไหมทดแทน เป็นเพียงการกำหนดตามดุลพินิจขององค์กรที่ทำหน้าที่ตามพระราชบัญญัติเท่านั้น เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดความไม่มั่นใจของนักลงทุน และไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ในการส่งเสริมการลงทุนตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ.2520 และการชดเชยค่าสินไหมทดแทนที่เป็นธรรมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 จากการศึกษาดังกล่าว ผู้ศึกษาจึงขอเสนอแนะให้มีการแก้ไข พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ.2520 มาตรา 43 ให้มีการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นกิจการของนักลงทุนทั้งหมดและกำหนดให้มีการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นกิจการของนักลงทุนในส่วนที่เหลือด้วย โดยกำหนดให้มีองค์กรที่ใช้อำนาจเป็นมาตรฐานในการพิจารณาการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ส่วนที่เหลือและค่าสินไหมทดแทนเพื่อความยุติธรรมในการพิจารณา และเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุน ตามเจตนารมณ์และให้บรรลุวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ.2520รายการ ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับคณะกรรมการสรรหาและที่มาของสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550(2553-05-18T08:54:50Z) พิจิตร เกิดจรวิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาถึง ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับคณะกรรมการสรรหาและที่มาของวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ นับเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกและฉบับเดียวของไทย ที่ได้กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภามีที่มาอยู่ใน 2 แนวทางคือ มาจากการเลือกตั้ง 76 คน และมาจากการสรรหา โดยคณะกรรมการสรรหา 74 คน เหตุที่ต้องกำหนดให้สมาชิกวุฒิสภามาจากระบบสรรหาก็เพราะว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ.2540 ซึ่ง กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งนั้น ถูกมองว่า ทำให้ได้สมาชิกวุฒิสภาที่มีความยึดโยง กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อันก่อให้เกิดรัฐสภาในระบบเครือญาติเพราะว่าการเข้าสู่ตำแหน่งของสมาชิกวุฒิสภาจำต้องอาศัยฐานคะแนนเสียงของสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร หรือ ฐานเสียงของพรรคการเมือง และเมื่อได้รับเลือกแล้ว ก็จำต้องมีความผูกพันหรือผูกโยงและต้องตอบ แทนประโยชน์ให้ กับกลุ่มคะแนนเสียงที่ตนเองได้พึ่งพิง ทำให้สมาชิกวุฒิสภาเกิดความไม่เป็นกลาง ในการที่จะปฏิบัติหน้าที่ คณะร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 จึงได้พยายามแก้ ปัญหาโดยกำหนดให้สมาชิกวุฒิสภาเกือบครึ่ง หนึ่งให้มีที่มาจากการสรรหาโดยกลุ่มบุคคลที่เรียกว่า “คณะกรรมการสรรหา” จำนวน 7 คน ซึ่งคณะกรรมการสรรหาทั้ง 7 คนนี้ ก็มาจาก ประธานองค์กรอิสระต่างๆ จำนวน 4 องค์กรด้วยกันคือ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และประธานคณะ กรรมการ ตรวจเงินแผ่นดิน และมาจากตุลาการศาลต่างๆ อีก 3 ศาลคือ ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุดและประธานศาลรัฐธรรมนูญ จากการศึกษาพบว่า สมาชิกวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 นอกจากจะมีอำนาจหน้าที่ ในการพิจารณากลั่นกรองกฎหมายแล้ว วุฒิสภายังมีอำนาจในการแต่งตั้ง ถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมืองข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ในองค์กรตรวจสอบต่างๆ อีกด้วย จะเห็นได้ว่าวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 นี้มีอำนาจมากในการที่จะให้คุณให้โทษต่อบุคคลในหลายหน่วยงาน แม้กระทั่งมีอำนาจในการที่จะถอดถอนวุฒิสมาชิกด้วยกัน เองด้วยซึ่งอำนาจของ สมาชิกวุฒิสภานั้นถือว่าเป็น 1 ใน 3 ของอำนาจอธิปไตยอันเป็นอำนาจของประชาชน ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ว่า “อำนาจ อธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย...”ดังนั้นเมื่ออำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน แต่ประชาชนกลับไม่มีโอกาสในการที่จะใช้แต่กลับตกไป อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการสรรหา ซึ่งมีเพียง 7 คนเท่านั้น ซึ่งบุคคลทั้ง 7 ต่างก็ไม่มีความเชื่อมโยงกับประชาชนแต่ประการใด แต่กลับไปมีความสัมพันธ์กับอำนาจของตุลาการเพราะเหตุว่าคณะกรรมการสรรหาส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด ก็มีที่มาจากองค์กรตุลาการทั้งสิ้น และการที่ให้คณะกรรมการสรรหาไปผูกโยงกับองค์กรตุลาการจึงทำให้อำนาจตุลาการได้ก้าวล่วงเข้าไปสู่อำนาจของนิติบัญญัติโดยตรง อันจะทำให้หลักทฤษฎีเรื่องของการแบ่งแยกอำนาจ ขององค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตยทั้งสาม คืออำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการผิดแปลกไป ทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้มีการยกร่างในขณะประเทศ ชาติอยู่ในภาวะรัฐประหาร ของกลุ่มรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ประธานคณะกรรมการสรรหาบางส่วนเช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการการตรวจเงินแผ่นดิน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเป็นต้น ก็ได้รับการแต่งตั้งมาจากคณะปฏิรูปการปกครอง อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งในภายหลัง ประธานคณะ กรรมการเหล่านี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการสรรหา อันพอจะวิเคราะห์ได้ว่าการกล่าวอ้างที่ว่าสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ถูกกล่าวหาว่าไม่มีความเป็นกลาง จึงไม่น่าจะมีเหตุ ผลมากนัก เพราะหากดูผลของการสรรหาของสมาชิกวุฒิสภา ที่มาจากคณะกรรมการสรรหาทั้ง 7 คนนี้ ก็ไม่อาจบอกได้ว่า จะได้สมาชิกวุฒิสภาที่มีความเป็นกลางอย่างไรทั้งไม่มีหลักประกันใดๆ ที่ จะบ่งบอกว่า บุคคลผู้เป็นคณะกรรมการสรรหาก็มีความเป็นกลางเช่นกัน จากปัญหาที่พบในการศึกษาดังกล่าวเห็นว่า ประเทศไทย ยังใช้ระบบประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนการได้มาซึ่งสมาชิกเพื่อมาทำหน้าที่ในด้านนิติบัญญัติก็ควรให้มีฐานที่มาจากประชาชนเพื่อ ความเชื่อมโยงระหว่างผู้แทนกับประชาชน ดังนั้นผู้ศึกษาจึงขอเสนอแนะ ให้มีการแก้ไขถึงที่มาของสมาชิกวุฒิสภาในส่วนที่มาจากการสรรหาว่า ให้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ดังเช่นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 โดยให้จำนวนสมาชิกวุฒิสภา เป็นไปตามสัดส่วนของประชาชนในแต่ละจังหวัดด้วยรายการ ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับสิทธิของเจ้าของร่วมในเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียน(2552-09-03T07:04:39Z) ประภาพร พ่วงรอดการศึกษาเรื่องปัญหากฎหมายเกี่ยวกับสิทธิของเจ้าของร่วมในเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงสิทธิของเจ้าของรวมในทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์รวมตามที่ได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะทรัพย์สินและสิทธิของเจ้าของร่วมในเครื่องหมายการค้าอันเดียวกันตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 และกฎหมายของต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มิได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนไว้ หากเกิดกรณีการเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าร่วมกัน เช่นได้มาโดยการโอน หรือรับมรดก ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 49 ย่อมมีปัญหาว่า เจ้าของร่วมคนใดคนหนึ่งในเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนแล้ว จะอนุญาตให้ใช้สิทธิในเครื่องหมายการค้าอย่างใดและจะสามารถนำบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยกรรมสิทธิ์ร่วมมาปรับใช้ได้ เพียงใด ทั้งนี้ จากการศึกษาพบว่าเครื่องหมายการค้าเป็นสิทธิในทรัพย์สินที่ไม่มีรูปร่างซึ่งต้องมีกฎหมายบัญญัติรับรองสิทธิไว้โดยเฉพาะ กล่าวคือ พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่มีรูปร่างซึ่งได้รับรองในเรื่องกรรมสิทธิ์ร่วมไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่อย่างไรก็ตามย่อมสามารถนำบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยกรรมสิทธิ์ร่วมมาปรับใช้ได้ เท่าที่ไม่ขัดต่อลักษณะของทรัพย์ที่ไม่มีรูปร่างซึ่งเป็นทรัพย์สินทางปัญญาดังเช่นประมวลกฎหมายแพ่งของญี่ปุ่น วิทยานิพนธ์ “ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับสิทธิของเจ้าของร่วมในเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียน” ฉบับนี้เป็นการศึกษาถึงความเป็นมา ความหมายของสิทธิของเจ้าของร่วมในเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียน กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ปัญหาทางกฎหมายของสิทธิในเครื่องหมายการค้า กรณีศึกษาถึงปัญหาและแนวทาง แก้ไขนั้น เป็นการศึกษาถึงแนวคิด และหลักการของเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนทั้งของประเทศไทยและ ต่างประเทศ พบว่ากฎหมายดังกล่าวไม่มีบัญญัติในเรื่องของสิทธิของผู้เป็นเจ้าของร่วมในเครื่องหมายการค้า ในกฎหมายไทยแต่อย่างใด จึงก่อให้เกิดปัญหาหลายประการคือ (1) ปัญหาการนำบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยกรรม- สิทธิ์ร่วมมาปรับใช้กับเจ้าของร่วมในเครื่องหมายการค้าอันเดียวกัน (2) ปัญหาการเข้าสู่สิทธิในเครื่องหมายการค้าของผู้เป็นเจ้าของร่วม (3) ปัญหาการมีคุณสมบัติของเจ้าของร่วมหลังจากที่ได้สิทธิในเครื่องหมายการค้า โดยผู้ศึกษาคาดหวังว่าจะสามารถนำไปเป็นแนวทางในการบัญญัติกฎหมายขึ้นใช้บังคับได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงในสังคมปัจจุบัน ซึ่งกฎหมายต่างๆ ดังกล่าวนี้มีเกิดขึ้นเกือบทุกประเทศทั่วโลก แต่ละประเทศก็เกิดปัญหาแตกต่างกันออกไป ซึ่งในแต่ละประเทศก็ต้องหาแนวทางแก้ไขในปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศของตนอันอาจมีวิธีการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกันออกไปอีกด้วย เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสภาพสังคม ตลอดจนวิถีชีวิตในแบบประเทศของตน เพื่อง่ายต่อการปรับเปลี่ยนแก้ไขให้เหมาะสมต่อไปรายการ ปัญหากฏหมายเกี่ยวกับความรับผิดชอบของกรรมการและบริษัทจำกัดต่อบุคคลภายนอก(2551-06-17T07:24:29Z) เศรษฐ์ อินสกุลในการศึกษาปัญหากฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดของกรรมการและบริษัทจำกัดต่อบุคคลภายนอก : ศึกษาเฉพาะกรณีกรรมการดำเนินกิจการตามวัตถุประสงค์ของบริษัทจำกัดโดยที่บริษัทมีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยผลของกฎหมาย และทำให้บริษัทมีฐานะแยกต่างหากจากผู้ถือหุ้น บริษัทย่อมมีการแสดงออกโดยผ่านทางกรรมการบริษัทโดยในกฎหมายไทยถือว่ากรรมการบริษัทมีฐานะเป็นผู้แทนของบริษัทตามมาตรา 70 และมาตรา 1167 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้กำหนดว่า “ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยตัวแทนแห่งประมวลกฎหมายนี้มาใช้บังคับแก่นิติบุคคลกับผู้แทนนิติบุคคล และระหว่างนิติบุคคลหรือผู้แทนของนิติบุคคลกับบุคคลภายนอกโดยอนุโลม” สภาพการณ์ดังกล่าว ทำให้เกิดความสับสนในการใช้บังคับกฎหมายและทำให้เกิดปัญหาว่ากรรมการไม่ต้องรับผิดเมื่อกระทำตามวัตถุประสงค์ของบริษัทซึ่งอาจทำให้บุคคลภายนอกได้รับความเสียหาย ทั้งนี้ ผลจากการศึกษาจากการใช้มาตรา 1167 ดังกล่าว ศาลฎีกาได้ปรับใช้กฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดกรรมการและบริษัทจำกัด ต่อบุคคลภายนอก มีดังนี้ 1. ศาลปรับใช้มาตรา 1167 อย่างกว้างขวางเพื่อคุ้มครองบุคคลภายนอก 2. บริษัทจำกัดมักจะแสดงออกโดยชัดแจ้งหรือปริยายให้กรรมการของตนเป็นตัวแทนบริษัทในการทำธุรกรรมกับบุคคลภายนอก 3. กรรมการบริษัทแม้จะได้กระทำไปตามขอบวัตถุประสงค์ของบริษัทแต่ก็มีแสดงเจตนาทุจริตเอาเปรียบบริษัทโดยการทำนิติกรรมกับบุคคลภายนอก โดยผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะดังนี้ 1. ควรปรับใช้มาตรา 1167 อย่างมีขอบเขตจำกัดในการคุ้มครองบุคคลภายนอก 2. ควรกำหนดให้กรรมการมีภาระพิสูจน์ว่าได้บริหารและใช้จ่ายทรัพย์สินของบริษัทอย่างถูกต้องเหมาะสมมิได้เกิดจากการฉ้อฉลหรือไม่สุจริต 3. ควรนำมาตรา 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้ในกรณีที่กรรมการ ธุรกรรมกับบุคคลภายนอกโดยฉ้อฉลบริษัทรายการ ปัญหาการบังคับใช้กฎหมายตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542: กรณีศึกษากรมสอบสวนคดีพิเศษ(2552-10-09T03:14:57Z) ธนาธิป นวรัตนวรกุลวิทยานิพนธ์ฉบับนี้เป็นการวิจัยเอกสารเพื่อทำการศึกษาค้นคว้าบทบัญญัติของกฎหมายที่ใช้ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ เนื่องจาก การทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง หรือที่เรียกกันเป็นที่เข้าใจว่า คือ การฮั้ว นั้น เป็นสิ่งที่เกิดมาคู่กับสังคมไทยมาช้านานจนกลายเป็นวัฒนธรรมที่แพร่หลายตั้งแต่ระดับชาติไปจนถึงระดับท้องถิ่น โดยมีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าว 3 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก ผู้ที่ประสงค์จะเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ กลุ่มที่สอง เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการเสนอราคา กลุ่มที่สาม ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยการฮั้วเกิดขึ้นเมื่อมีการแสวงหาประโยชน์ร่วมกันโดยมีข้าราชการเป็นแกนกลางในการเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดในเรื่องดังกล่าวจึงได้มีการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “กฎหมายฮั้ว” ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ ที่มุ่งจะทำให้การจัดหาสินค้าและบริการของหน่วยงานของรัฐทุกแห่งที่ใช้เงินงบประมาณเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมและมีการแข่งขันกันอย่างเสรีเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่การดำเนินการจัดหาสินค้าและบริการ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมที่ปฏิบัติงานในเชิงรุก เพื่อป้องกันปราบปราม และควบคุมอาชญากรรมที่มีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะหนึ่งในภารกิจของกรมสอบสวนคดีพิเศษก็คือการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ โดยในพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 ได้มีการนำเอามาตรการพิเศษในการสืบสวนสอบสวนมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการดักฟัง การติดตามด้วยเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์รวมไปถึงการอำพราง วิทยานิพนธ์ฉบับนี้จึงได้นำเอากฎหมายที่เกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าวมาทำการวิเคราะห์เพื่อเสนอแนวทางในการบังคับใช้กฎหมายต่อไป นอกจากนี้แล้วการฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ส่วนใหญ่เป็นการกระทำในราชการส่วนท้องถิ่น การกระทำความผิดในลักษณะดังกล่าวจึงมักจะเกี่ยวข้องกับข้าราชการและนักการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อันส่งผลให้กรมสอบสวนคดีพิเศษต้องมีการสรุปสำนวนการสอบสวนไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติถึงแม้จะเป็นคดีพิเศษที่อยู่ในอำนาจของกรมสอบสวนคดีพิเศษก็ตามทำ ให้คดีที่เกิดขึ้นขาดการดำเนินการที่ต่อเนื่อง อาจส่งผลให้คดีขาดอายุความ เนื่องจากมีคดีในความรับผิดชอบอยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ การที่โครงสร้างของกรมสอบสวนคดีพิเศษอยู่ภายใต้สังกัดกระทรวงยุติธรรมที่อธิบดีเป็นเพียงข้าราชการประจำที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของฝ่ายการเมืองที่อาจถูกแทรกแซงได้ ดังนั้นเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายอย่างสูงสุด จึงควรมีการแก้ไข กฎหมายระเบียบข้อบังคับให้การกระทำความผิดตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 ที่มีมูลน่าเชื่อว่ามีการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาเพื่อเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐซึ่งมีวงเงินหรือมูลค่าตั้งแต่หนึ่งร้อยล้านบาทเป็นขึ้นไปอันเป็น “คดีพิเศษ” ที่ต้องสืบสวนและสอบสวนโดยพนักงานสอบสวนคดีพิเศษตาม พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 ที่มีข้าราชการหรือนักการเมืองร่วมกันในการกระทำความผิดให้เป็นอำนาจการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษโดยที่ไม่ต้องส่งสำนวนไปยังคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเพื่อให้เกิดความมีประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายรวมถึงแก้ไขโครงสร้างของกรมสอบสวนคดีพิเศษให้เป็นองค์กรอิสระดังเช่นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเพื่อที่จะป้องกันการแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองที่มักจะเป็นกลุ่มผลประโยชน์หนึ่งในการฮั้วเพื่อให้การปฏิบัติงานของข้าราชการมีความเป็นอิสระและสามารถอำนวยความยุติธรรมอย่างสูงสุดตามเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้รายการ ปัญหาการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบ(2553-03-09T09:39:55Z) อนุชา วงศ์ศรีรัตน์ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ถือเป็นกฎหมายแม่บทในเรื่องเงินกู้ นิติกรรมสัญญา การกู้ยืม เป็นการตกลงระหว่างคู่สัญญาในทางแพ่ง โดยหลักกฎหมายแพ่งแล้วคู่สัญญาจะตกลงกันอย่างไรก็ได้ เท่าที่ไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 ส่วนเรื่องดอกเบี้ย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 กำหนดให้เรียกดอกเบี้ยเงินกู้ได้ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อไป การกู้ยืมรายใดมีการเรียกดอกเบี้ยเงินกู้เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดย่อมมีความผิดตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 แต่ถ้าเป็นการกู้เงินจากสถาบันการเงิน จะไม่นำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาบังคับใช้ถือเป็นข้อยกเว้น เนื่องจากสถาบันการเงินมีประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย และพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 ควบคุมบังคับใช้เป็นการเฉพาะแล้ว แต่การขอกู้เงินจากสถาบันการเงินนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ เพราะการกู้เงินจากสถาบันการเงินมีกฎระเบียบและที่สำคัญต้องมีหลักทรัพย์ในการค้ำ ประกันเมื่อไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันการกู้ยืม แต่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน จำเป็นต้องกู้จากนายทุน “เงินกู้นอกระบบ” (SHARK LOAN) ซึ่งเป็นการกู้ยืมที่ไม่มีข้อยุ่งยาก ได้รับเงินเร็ว แต่ต้องยอมเสียดอกเบี้ยหรือผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่นายทุนเงินกู้ ในอัตราที่สูงโดยผู้กู้และผู้ให้กู้ต้องร่วมมือ สมยอมกันเพื่อหลีกเลี่ยงบทบัญญัติของกฎหมาย พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 เป็นกฎหมายที่มีลักษณะพิเศษ ที่รัฐใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาเงินกู้นอกระบบเป็นการเฉพาะเป็นกฎหมายบัญญัติถึงเรื่องเงินกู้และการเรียกดอกเบี้ย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องทางแพ่ง แต่ในกฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดโทษอาญาไว้จึง กลายเป็นกฎหมายลูกผสม และกฎหมายที่บัญญัติในเรื่องเงินกู้มีอยู่ทั่วไป ทั้งในหลักกฎหมายแพ่งและหลักกฎหมายอาญา เมื่อหลักกฎหมายต่างกัน จึงมีปัญหาในการตีความจะใช้หลัก กฎหมายทางแพ่งหรือใช้หลักกฎหมายอาญามาบังคับใช้ ทำให้เกิดข้อขัดข้องในการปฏิบัติ เนื่องจากหลักกฎหมายและการตีความไม่ชัดเจน เมื่อหลักกฎหมายและความหมายของคำว่า เงินกู้นอกระบบ ไม่มีความชัดเจนต้องอาศัยการตีความ จึงทำให้หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสรรพากร สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งเป็นองค์กรสำคัญที่บังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ มีปัญหาในการบังคับใช้ กฎหมายตามไปด้วย เพราะแต่ละหน่วยงานต่างมีอำนาจและหน้าที่แตกต่าง จึงทำให้การบังคับใช้กฎหมายในเรื่อง เงินกู้นอกระบบ ไม่สามารถบังคับใช้ได้ตามเจตนารมณ์ วิทยานิพนธ์ “ปัญหาการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบ” ฉบับนี้เป็นการศึกษา ถึงความเป็นมา ความหมายของเงินกู้นอกระบบ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ปัญหาในการบังคับตลอดจน วิธีแก้ไข เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงและพัฒนากฎหมายของไทย โดยผู้ศึกษาคาดหวังว่าจะสามารถนำไปเป็นแนวทางในการบัญญัติกฎหมายขึ้นใช้บังคับได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงในสังคมปัจจุบัน และดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ตามหลักกฎหมายอันจะก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในสังคมสืบไปรายการ ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิต: ศึกษากรณีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) พ.ศ.2550(2553-05-18T09:23:05Z) ปรีชา สามารถการศึกษาครั้งนี้เนื่องจากปัญหาโลกร้อน (Global Warming) ที่ต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบันเกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ เมื่อมีการสะสมของก๊าซเหล่านี้เป็นจำนวนมากในชั้นบรรยากาศก่อให้เกิดการเก็บกักความร้อนจากรังสีดวงอาทิตย์เอาไว้ หรือที่เรียกกันว่าภาวะเรือนกระจก (Greenhouse Effect) ส่งผลกระทบถึงความเป็นอยู่ของประชาคมโลกโดยทั่วไปไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม ทำให้สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไปจากปกติที่เคยเป็นมาส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก รวมถึงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่างๆ ดังนั้นการประชุมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขององค์การสหประชาชาติ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) จึงมีเป้าหมายเพื่อให้บรรลุถึงการรักษาระดับความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศให้คงที่ อยู่ในระดับที่ปลอดภัยจากการแทรกแซงของมนุษย์ที่เป็นอันตรายต่อระบบภูมิอากาศ การรักษาระดับดังกล่าวต้องดำเนินการในระยะเวลาเพียงพอที่จะให้ระบบนิเวศปรับตัวโดยไม่คุกคามต่อการผลิตอาหารของมนุษย์ จากนั้นมีการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญา (Conference of the Parties: COP) ครั้งที่ 3 ณ กรุงโตเกียว ได้มีการตกลงยกร่างพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ขึ้นในวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ.2530 ได้มีการกำหนดพันธกรณีในการลดก๊าซเรือนกระจกที่เป็นข้อผูกมัดทางกฎหมายสำหรับประเทศในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมหรือกลุ่มภาคผนวกที่ 1 (Annex I) และมีพันธกรณีทั่วไปร่วมกันระหว่างประเทศภาคีสมาชิกทั้งหมดรวมถึงการเพิ่มการดูดซับก๊าซเรือนกระจก และเสริมด้วยกลไกอื่นๆ ได้แก่ Joint Implementation, Clean Development Mechanism และ Emissions Trading เพื่อให้ได้มาซึ่งเครดิตที่มีต้นทุนต่ำกว่าการลดก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศ ประเทศไทยสามารถเข้าร่วมโครงการได้โดยผ่านกลไกการพัฒนาที่สะอาด จากการศึกษาพบว่าพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) พ.ศ.2550 พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ.2520 (แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 3) พ.ศ.2544 และกฎหมายทั่วไปยังครอบคลุมไม่ทั่วถึง ส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น ปัญหาการบังคับใช้กฎหมายตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) พ.ศ.2550 มาตรา 7(2) ว่าด้วยการส่งเสริมการพัฒนาโครงการที่ได้คำรับรองเท่านั้น เนื่องจากการลงทุนเกี่ยวกับกลไกการพัฒนาที่สะอาด โครงการใดต้องการที่จะขายก๊าซเรือนกระจกได้จะต้องผ่านการรับรองในชื่อ Certified Emission Reductions โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เป็นผู้พิจารณาให้การรับรองโครงการ โครงการที่ยังไม่ได้คำรับรองหรือไม่ได้ขอคำรับรองก็จะไม่ได้รับการส่งเสริมและไม่ได้ประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตด้วย ตามมาด้วยปัญหาการส่งเสริมการลงทุน เนื่องจากโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขนาดใหญ่ต้องใช้เทคโนโลยีและเงินลงทุนสูง ควรส่งเสริมการลงทุนตามปกติ ส่วนโครงการขนาดเล็กส่งเสริมเฉพาะคนไทยเท่านั้น เพราะใช้เงินลงทุนต่ำและเทคโนโลยีไม่สูงนัก ต่อมาปัญหากฎหมายเกี่ยวกับหน่วยงานในการตรวจสอบโดยไม่มีหน่วยงานใดมาตรวจสอบและติดตามผลโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ได้คำรับรองแล้ว และปัญหาการขาดมาตรการบังคับทางกฎหมายยังไม่มีมาตรการบังคับทางกฎหมายในการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ดังนั้นผู้ศึกษาจึงได้เสนอแนะดังนี้ ให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) พ.ศ.2550 มาตรา 7(2) ว่าด้วยการส่งเสริมการพัฒนาโครงการที่ได้คำรับรองและโครงการที่ไม่ได้คำรับรอง ขยายขอบเขตประเภทของผู้ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิตว่าควรจะต้องส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ลดก๊าซเรือนกระจกโดยใช้เทคโนโลยีที่สูงเท่านั้น และการเพิ่มอำนาจหน้าที่ให้กับกรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมควบคุมมลพิษ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือหน่วยงานเอกชนให้มีอำนาจหน้าที่เข้าไปตรวจสอบการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามโรงงานอุตสาหกรรมหรือโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่างๆที่ได้คำรับรอง แก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 โดยให้ก๊าซเรือนกระจกเป็นก๊าซที่ต้องมีการควบคุมปริมาณการปล่อยและให้ความสำคัญเกี่ยวกับการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพรายการ ปัญหาทางกฎหมายในการควบคุมและคุ้มครองแรงงานต่างด้าว เข้าเมืองผิดกฎหมายในประเทศไทย(2551-07-03T03:51:43Z) ธนิศร มานะตระกูลวิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาถึงปัญหาทางกฎหมายอันเกิดจากแรงงานต่างด้าว เข้าเมืองผิดกฎหมายในประเทศไทย การเข้ามาทำงานของแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายนั้นมีผลดีคือการ ใช้แรงงานต่างด้าวทดแทนการขาดแคลนแรงงาน แต่ผลเสียก็คือแรงงานต่างด้าวจะทำให้เกิดปัญหาการแย่งอาชีพคนไทยได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม การเมืองการปกครอง และปัญหาความมั่นคงภายใน ต้องเร่งแก้ไขโดยเร็วทั้งระบบ โดยศึกษามาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวกับการควบคุมและคุ้มครองแรงงานต่างด้าวของต่างประเทศเปรียบเทียบกับประเทศไทยให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อเป็นแนวทางในการออกกฎหมาย และแก้ไขกฎหมาย เพื่อควบคุมและคุ้มครองแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายในประเทศไทย จากการศึกษาพบว่า พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2521 และพระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่คนต่างด้าวห้ามทำ พ.ศ. 2522 และฉบับที่ 2 ไม่สามารถควบคุมแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ สาเหตุสำคัญคือการผ่อนผันบังคับใช้กฎหมายไม่ดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด ทำให้กฎหมายขาดสภาพบังคับและ ผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวที่รอเนรเทศ รับใบอนุญาตทำงานเป็นการชั่วคราวได้ เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า จึงต้องใช้มาตรการทางกฎหมายที่เด็ดขาด โดยเพิ่มโทษผู้ฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง และกฎหมายควบคุมการทำงานของคนต่างด้าวให้มากขึ้น คนต่างด้าวจะทำงานต้องห้ามบางอย่างได้ เฉพาะงานที่คนไทยไม่นิยมทำและขาดแคลนแรงงานเท่านั้น โดยต้องขออนุญาตก่อน ส่วนการคุ้ม ครองใช้กฎหมายเฉพาะกับแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายที่อยู่ในประเทศไทยทุกประเภท เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งระบบ แล้วให้ภาครัฐผลักดันแรงงานต่างด้าวออกนอกประเทศ โดยมิให้แรงงาน ต่างด้าวเข้ามาในประเทศไทยอีก จากข้อค้นพบดังกล่าว ผู้เขียนจึงเสนอแนะให้มีการแก้ไขบทบัญญัติพระราชบัญญัติคนเข้า เมือง พ.ศ.2522 พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2521 พระราชกฤษฎีกา กำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ พ.ศ.2522 เพื่อควบคุมแรงงานต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย และออกกฎหมายเฉพาะเพื่อคุ้มครองแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ทั้งนี้เพื่อสะดวกต่อการดูแลและควบ คุมแรงงานต่างด้าวเหล่านี้ ให้อยู่ในกรอบของกฎหมายต่อไปรายการ ปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายเกี่ยวกับการสำรวจปิโตรเลียมบนบก(2562-03-08) ณัฐนันท์ จิตต์บรรจงวิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อก่อให้เกิดในการพัฒนากฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงรักษาไว้ซึ่งสิทธิและเสรีภาพของประชาชน การเข้าถึงหลักการและสิทธิทางสิ่งแวดล้อม หลักการและสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การมีส่วนร่วมสาธารณะ การเข้าถึงความยุติธรรมใน คดีสิ่งแวดล้อมและผลประโยชน์ของรัฐจากการสำรวจปิโตรเลียมบนบก จากการศึกษาพบว่า เมื่อมีการพัฒนาการสำรวจปิโตรเลียม ทั้งในด้านการพัฒนาทางเทคโนโลยีในการสำรวจ การผลิต การทดสอบ หรือการนำมาแปรรูปในธุรกิจปิโตรเคมีนั้นก่อให้เกิดช่องว่างทางกฎหมายที่สามารถนำมาเป็นประเด็นเพื่อการศึกษา อาทิ ปัญหาในการจัดทำผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการสำรวจหลุมปิโตรเลียมโดยวิธีคลื่นไหวสะเทือน (seismic survey) ปัญหาในการสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียมโดยการใช้กรดเพื่อเจาะสำรวจหาปริมาณปิโตรเลียมใต้ชั้นหินดินดาน (acidizing) ปัญหาในการเผาทดสอบปริมาณก๊าซเพื่อการพัฒนาเชิงพาณิชย์ (flaring) และปัญหาในการเยียวยาผลกระทบจากการสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียมบนบกโดยตรงในประเทศไทย ผู้ศึกษาขอเสนอแนะว่า ควรมีการจัดทำรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 สำหรับการพัฒนาปิโตรเลียมในทุกกระบวนการและควรมีการจัดทำการประเมินผลวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพในกรณีที่ส่งผลกระทบสะสมทางมลพิษทางสิ่งแวดล้อม ด้านมาตรการในการเยียวยาความมีการยกเว้นให้สามารถอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองเฉพาะกรณีการสำรวจปิโตรเลียมและกำหนดมาตรการด้านนโยบายของรัฐในการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าที่หรือบุคลาการของรัฐในการพัฒนาปิโตรเลียมในทุกโครงการรายการ มาตรการทางกฎหมายการดำเนินกิจการของนิติบุคคลอาคารชุด : ศึกษากรณีการเรียกเบี้ยปรับจากค่าส่วนกลางและค่าสาธารณูปโภคที่ค้างชำระ(2551-02-12T15:18:25Z) เอียด ศรีสุวรรณวิเชียรวิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของนิติบุคคลอาคารชุดที่จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ.2522 เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนเจ้าของร่วมทุกคนในการดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลาง นิติบุคคลอาคารชุดสามารถออกข้อบังคับ กฎเกณฑ์ วางระเบียบและปฏิบัติตามมติที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมโดยมีคณะกรรมการควบคุมนิติบุคคลอาคารชุดตลอดจนการกำหนดบทลงโทษที่ขัดต่อพระราชบัญญัติอาคารชุดโดยการเรียกเบี้ยปรับจากผู้ที่ค้างชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางและค่าสาธารณูปโภคที่ไม่เป็นธรรม ควรมีมาตรการทางกฎหมายกำหนดแนวทางเพื่อแก้ปัญหาและปรับปรุงพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ.2522 ออกกฎกระทรวง วางระเบียบ ในการดำเนินกิจการของนิติบุคคลอาคารชุดที่ยังมีข้อบกพร่องอยู่หลายประการด้วยกัน ที่มีคณะกรรมการควบคุมนิติบุคคลอาคารชุดให้มีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นโดยกำหนดให้มีคณะกรรมการองค์กรของรัฐที่เป็นกลางและ สร้างความเป็นธรรมกับเจ้าของห้องชุดมีอำนาจกำกับดูแลคณะกรรมการควบคุมนิติบุคคลอาคารชุด กำหนดอัตราเพดานเบี้ยปรับจากค่าใช้จ่ายส่วนกลางและค่าสาธารณูปโภคที่ค้างชำระให้เป็นธรรมยิ่งขึ้นรายการ มาตรการทางกฎหมายในการกำกับดูแลการติดตามทวงถามหนี้อย่างเป็นธรรม(2552-08-28T08:36:34Z) จุมพล พงศ์ถาวรภิญโญจากการศึกษาถึงปัญหาในการติดตามทวงถามหนี้ที่ไม่เป็นธรรมของประเทศไทยในปัจจุบันพบว่า มีลูกหนี้ซึ่งเป็นผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยที่กำลังได้รับความเดือดร้อน จากพฤติกรรมหรือรูปแบบของการติดตามทวงถามหนี้ที่ไม่เหมาะสม และกำลังเป็นปัญหาขัดแย้งระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในสังคม ซึ่งหากจะพิจารณาถึงที่มาของปัญหาดังกล่าวแล้วส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่กำลังประสบภาวะถดถอย ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้น เกิดเป็นสภาวะที่ลูกหนี้จำนวนมากไม่สามารถชำระหนี้สินต่างๆ ภายในกำหนดเวลาได้ อันทำให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าหนี้ที่ไม่ได้รับชำระหนี้ จึงทำให้ต้องมีการติดตามทวงถามหนี้กันเกิดขึ้น ทั้งนี้ แม้การติดตามทวงถามหนี้เป็นสิทธิที่ชอบธรรมตามกฎหมาย แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขตามกฎหมาย มีความเหมาะสมและเป็นธรรมแก่ลูกหนี้ตามสมควรด้วย โดยการติดตามทวงถามหนี้ที่ชอบด้วยกฎหมายนั้น คือ การที่เจ้าหนี้มีสิทธิเพียงบอกกล่าวให้ลูกหนี้ดำเนินการชำระหนี้หรือมีสิทธิแจ้งต่อลูกหนี้ว่า หากไม่ชำระหนี้ตามสัญญาก็จะดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป แต่เนื่องจากเจ้าหนี้ส่วนใหญ่ต้องการหลีกเลี่ยงวิธีฟ้องร้องดำเนินคดีเพราะเป็นการเสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย และยังเป็นการทำลายความสัมพันธ์กับลูกหนี้ไปโดยปริยาย เจ้าหนี้จึงเลือกที่จะใช้วิธีการติดตามทวงถามกับตัวลูกหนี้โดยตรง แต่การดำเนินการของบรรดาเจ้าหนี้ต่างๆ ซึ่งในที่นี้จะเน้นถึงผู้ให้สินเชื่อไม่ว่าจะเป็นธนาคาร สถาบันการเงิน และผู้ประกอบธุรกิจการให้สินเชื่อ และรวมถึงผู้รับจ้างติดตามทวงถามหนี้ เช่น สำนักงานกฎหมายต่างๆ ได้ใช้วิธีการติดตามทวงถามหนี้ที่ไม่เหมาะสม มีลักษณะเป็นการล่วงละเมิดสิทธิของลูกหนี้เพิ่มขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง เช่น การมีเจตนาทำให้ลูกหนี้เสื่อมเสียชื่อเสียงโดยการใช้เอกสารเปิดผนึกในการแจ้งหนี้ การนำเรื่องที่ลูกหนี้เป็นหนี้แล้วไม่ชำระหนี้ไปแจ้งแก่บุคคลภายนอก การข่มขู่คุกคามโดยใช้ถ้อยคำรุนแรง การสร้างความเดือดร้อนรำคาญโดยการใช้โทรศัพท์ติดต่อลูกหนี้ซ้ำซากต่อเนื่องโดยไม่มีเหตุผล หรือในเวลายามวิกาล หรือติดต่อไปยังสถานที่ทำงานของลูกหนี้ ตลอดจนการให้ข้อมูลเท็จอันถือเป็นการหลอกลวงลูกหนี้ เช่น การอ้างว่าหากลูกหนี้ไม่ชำระหนี้จะถูกยึดทรัพย์ ถูกจับกุม คุมขัง หรือถูกดำเนินคดีอาญา การใช้เอกสารเลียนแบบเอกสารทางราชการหรือศาลโดยพฤติกรรมทั้งหมดนี้ล้วนเข้าข่ายการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตทั้งสิ้น เมื่อได้ศึกษาถึงสภาพปัญหาดังกล่าวแล้วนี้ยังพบว่า มาตรการทางกฎหมายที่มีอยู่ยังไม่สามารถให้ความคุ้มครองลูกหนี้จากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเหล่านี้ได้อย่างเพียงพอ โดยหากจะพิจารณาตามหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องก็มีเพียงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในเรื่องละเมิด ส่วนตามกฎหมายอาญา ก็ต้องพิจารณาไปตามองค์ประกอบความผิดฐานต่างๆ เช่น กรรโชกทรัพย์ ฉ้อโกง หมิ่นประมาท เป็นต้น ซึ่งการใช้วิธีการตีความปรับใช้กฎหมายเท่าที่มีอยู่มาเทียบเคียงนี้ ไม่สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้มากนักและในบางกรณียังปรากฏพฤติกรรมการติดตามทวงถามหนี้ที่ยังไม่ชัดเจนว่าเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายแพ่งหรืออาญาดังกล่าวได้ ยังเป็นช่องว่างของกฎหมายอยู่ ตลอดจนแนวปฏิบัติในการติดตามทวงถามหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยังขาดสภาพบังคับอย่างจริงจัง จึงทำให้ลูกหนี้ยังถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างไม่เป็นธรรมอยู่ดี หากพิจารณาจากกฎหมายของต่างประเทศพบว่าในหลายๆ ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ได้มีกฎหมายเฉพาะที่กำหนดวิธีปฏิบัติในการติดตามทวงถามหนี้อย่างชัดเจนมานานแล้ว และสามารถใช้เป็นกลไกในการดูแลคุ้มครองลูกหนี้ได้ตามสมควร ผู้เขียนจึงเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทย ก็ควรที่จะมีกฎหมายในลักษณะเดียวกันนี้เพื่อให้เกิดแนวปฏิบัติของการติดตามทวงถามหนี้ที่เป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย จึงเป็นที่มาของร่างพระราชบัญญัติการติดตามทวงถามหนี้อย่างเป็นธรรม พ.ศ. .... ที่กำลังมีความพยายามเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรอยู่ในปัจจุบัน โดยร่างพระราชบัญญัตินี้ได้ยกร่างโดยมีต้นแบบมาจาก The Fair Debt Collection Practices Act 1977 ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งร่างพระราชบัญญัตินี้มีสาระสำคัญในการกำหนดหลักเกณฑ์ ข้อปฏิบัติ ข้อห้ามปฏิบัติในการติดตามทวงถามหนี้อย่างเป็นขั้นตอน เช่น มีข้อปฏิบัติให้ผู้ติดตามหนี้ต้องแสดงตนและแสดงเจตนาว่าติดต่อมาเพื่อติดตามทวงถามหนี้ กำหนดให้ติดต่อได้ในเวลาและสถานที่ที่กำหนด ห้ามติดต่อโดยใช้ไปรษณียบัตรหรือโทรสาร ห้ามติดต่อโดยไม่มีเหตุอันควร หรือก่อให้เกิดความรำคาญ ห้ามกระทำการในลักษณะที่เป็นการละเมิด คุกคามลูกหนี้โดยใช้วาจาหรือภาษาดูหมิ่น เสียดสี ห้ามข่มขู่ว่าจะดำเนินการใดๆ โดยไม่มีอำนาจจะกระทำได้ เช่น ข่มขู่ลูกหนี้ว่าจะดำเนินคดี ถูกยึดอายัดเงินเดือน หรือทรัพย์สิน ตลอดจนห้ามแอบอ้างเอกสารใดๆ ที่อาจทำให้ลูกหนี้เข้าใจผิดว่าเป็นการกระทำของศาลหรือหน่วยงานของรัฐ ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามก็มีบทลงโทษไว้ด้วย อีกทั้ง ยังกำหนดให้มีคณะกรรมการในการกำกับดูแลการติดตามทวงถามหนี้เพื่อให้ลูกหนี้สามารถร้องเรียนได้อีกด้วยรายการ มาตรการทางกฎหมายในการบังคับชำระหนี้ของกองทุนหมู่บ้าน และชุมชนเมืองแห่งชาติ(2551-02-12T14:05:19Z) วลัญช์ศักดิ์ สุภารัตมโชติวิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษามาตรการทางกฎหมายในการบังคับชำระหนี้ของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ โดยศึกษาตั้งแต่ความสำคัญของแบบนิติกรรมต่อ การบังคับชำระหนี้ การบังคับชำระหนี้เกี่ยวกับเงินที่มีอยู่ในบัญชีของกองทุน การคิดดอกเบี้ย ในการกู้ยืมเงินของสมาชิก อายุความของการบังคับชำระหนี้ และการบังคับคดี ทั้งนี้เพราะแนวทางในการแก้ไขปัญหาความยากจน โดยการจัดตั้งกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองเพื่อใช้เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนในหมู่บ้านและชุมชน สามารถใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้ท้องถิ่นมีความเข้มแข็งพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน อันเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ จากการศึกษาพบว่ามาตรการทางกฎหมายในการบังคับชำระหนี้ของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ จะมีประสิทธิภาพในการรักษาเงินของกองทุนไว้ตลอดไป นิติกรรมของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่ใช้อยู่ มิได้กำหนดแบบของนิติกรรมไว้โดยเฉพาะ แต่ละกองทุนต้องนำหลักกฎหมายทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับซึ่งไม่เหมาะสมต่อการบังคับชำระหนี้โดยตาม มาตรา 653 บัญญัติว่า การกู้ยืมเงิน ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืม จะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ แต่ในกรณีกองทุนควรใช้การทำสัญญาที่เป็นหนังสือลงลายมือชื่อ ทั้งผู้ให้กู้และผู้กู้ และควรให้คู่สมรสได้ให้ความยินยอมลงชื่อไว้ในสัญญาด้วย เพราะเป็นผลดีในการบังคับชำระหนี้ และไม่ควรจะอนุญาตให้สมาชิกมาทำสัญญากู้แทนกันได้ ป้องกันปัญหาเรื่องปลอมลายมือชื่อ สำหรับในเรื่องการทำสัญญากู้ยืมเงินซึ่งต้องทำตามแบบสัญญากำหนด การทำสัญญาค้ำประกันเงินกู้ พบว่า ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติว่าด้วยการจัดตั้งและบริหารกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ หรือระเบียบ (กทบ.) ข้อ 33 ใช้คำว่า “อาจ” ย่อมแสดงได้ว่า เป็นดุลยพินิจของคณะกรรมการกองทุนที่จะใช้หลักประกัน หรือไม่ใช้ หรือจะใช้หลักประกันเฉพาะเงินกู้ยืมบางส่วนก็ได้ ย่อมเป็นการเสี่ยงต่อการบังคับชำระหนี้โดยไม่มีหลักประกัน ส่วนการบังคับชำระหนี้เกี่ยวกับเงินที่มีอยู่ในบัญชีของกองทุน ยังมีความไม่ชัดเจนแน่นอนในเรื่องเจ้าของเงินของกองทุนส่งผลถึงเรื่องอำนาจฟ้อง และอายุความของการบังคับชำระหนี้ ประกอบกับมีการคิดอัตราดอกเบี้ยในการกู้ยืมเงินเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด และเมื่อลูกหนี้ผิดนัดมีการคิดดอกเบี้ยทบต้นโดย ไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งการบังคับคดี ได้นำกระบวนการตามกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ ซึ่งขัดแย้งกับแนวความคิดในการจัดตั้งกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง เพื่อให้ประชาชนในระดับรากหญ้าพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน เพราะการดำเนินคดีมีขั้นตอนที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายต้องว่าจ้างทนายความ ไม่อาจให้พนักงานอัยการรับว่าต่างหรือแก้ต่างให้ได้เพราะกองทุนมิใช่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ตามาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ.2547 ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ผู้เขียนจึงได้เสนอแนะให้คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติจัดทำแบบนิติกรรมให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้แต่ละกองทุนนำมาใช้ ทั้งให้มีการแก้ไขระเบียบคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติว่าด้วยการจัดตั้งและบริหารกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ.2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในส่วนที่บกพร่องอยู่เพื่อให้แต่ละกองทุนบริหารจัดการแก้ไขปัญหาการไม่ชำระหนี้เงินกู้ รวมทั้งจัดระบบและบริหารจัดการเงินกองทุนของตนเองอันเป็นการสร้างศักยภาพในการเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศชาติในอนาคตรายการ มาตรการทางกฎหมายในการให้กู้ยืมเงินสำหรับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลาง(2551-02-13T07:52:50Z) สุรีย์พร จิรขวัญรักษ์จากภาวะการส่งออกที่ชะลอตัวลงนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 เป็นต้นมาได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจของประเทศไทย และทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจซบเซาธุรกิจเป็นจำนวนมากต้องทยอยปิดกิจการลงเรื่อย ๆ ดังนั้นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจึงได้รับการพิจารณาอย่างจริงจังในฐานะที่เป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยให้ระบบเศรษฐกิจของไทยฟื้นตัวและทำหน้าที่เป็นปัจจัยกระตุ้นการทำงานของระบบเศรษฐกิจโดยรวม ภาครัฐได้มีการออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดผลกระทบทางวิกฤตเศรษฐกิจที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) คือ มาตรการสินเชื่อเพื่อการบรรเทาปัญหาการขาดสภาพคล่องของ SMEs แต่พบว่ามีปัญหาที่เกิดขึ้นซึ่งเกิดจากมาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกู้ยืมเงินของผู้ประกอบการจากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME BANK) ที่ไม่เอื้อต่อการกู้ยืมของผู้ประกอบการ SMEs เนื่องจากปัญหาที่สำคัญในการปล่อยสินเชื่อของทางธนาคารคือ การขาดหลักประกันที่ดีการกู้ยืมเงิน อีกทั้งในการพิจารณาหลักเกณฑ์ของหลักประกันต่าง ๆ ในการให้สินเชื่อมีข้อจำกัดมากในการพิจารณารับไว้เป็นหลักประกันในการให้สินเชื่อ ผลทำให้ผู้ประกอบการไม่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อหรือได้รับอนุมัติสินเชื่อแต่จำนวนสินเชื่อที่ได้รับน้อยกว่าที่ขออนุมัติสินเชื่อจึงไม่สามารถนำเงินจำนวนเหล่านั้นไปประกอบธุรกิจได้อย่างเต็มที่ ในส่วนของประเทศไทยพบว่ายังไม่มีมาตรการหรือกฎหมายใด ๆ ที่จะเอื้ออำนวยประโยชน์หรือรองรับการสนับสนุนตามแนวนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล แก่ผู้ประกอบการ SMEs อย่างแท้จริง ดังนั้นจึงเห็นควรหาแนวทางในการสนับสนุนและส่งเสริมแก่ผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs ในปัจจุบัน โดยกฎระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ ที่มีบังคับใช้อยู่ในปัจจุบันเกี่ยวกับการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อควรจะมีการแก้ไขมาตรการบางอย่างทางกฎหมาย เพื่อเอื้ออำนวยให้กับผู้ประกอบการ SMEs ได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งประกอบด้วยการแก้ปัญหาเกี่ยวกับหลักประกันที่ใช้ในการค้ำประกันสินเชื่อด้วยวิธีการต่าง ๆ ได้แก่ การใช้บุคคลในการค้ำประกัน การใช้สถาบันการค้ำประกันสินเชื่อ การแก้ปัญหาเกี่ยวกับการกำหนดคุณสมบัติของผู้กู้โดยการผ่อนปรนหลักเกณฑ์และคุณสมบัติต่าง ๆ อันเป็นข้อบังคับของทางธนาคารที่กำหนดไว้ ลดขั้นตอนของการอนุมัติสินเชื่อลงตลอดจนการพิจารณาเอกสารการประเมินราคาสินทรัพย์ให้มีความกระชับรวบรัดและลดขั้นตอนลง สำหรับปัญหาเกี่ยวกับจำนวนหน่วยงานของรัฐบาลที่ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ธุรกิจ SMEs ซึ่งในปัจจุบันมีไม่เพียงพอต่อความต้องการ แนวทางในการแก้ไขปัญหาคือ การออกกฎหมายรองรับเพื่อจัดตั้งสถาบันทางการเงินให้มากกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งจะต้องมีวัตถุประสงค์โดยตรงที่จะช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการ SMEs ในด้านของเงินลงทุนเพื่อให้ครอบคลุมถึงความต้องการของผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ที่มีอยู่ทั่วภูมิภาค เพื่อให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนและเป็นทางเลือกให้กับผู้ประกอบการ SMEs ได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผู้ศึกษาเห็นว่าควรมีแนวทางการออกกฎหมายเพื่อการจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาเพื่อรองรับการให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับการเขียนโครงการแผนธุรกิจต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยการลดภาระหน้าที่ของธนาคารในการพิจารณาแผนโครงการธุรกิจของผู้ประกอบการในเบื้องต้นด้วย