วิทยานิพนธ์ปริญญาโท
URI ถาวรสำหรับคอลเล็กชันนี้
เรียกดู
กำลังเรียกดู วิทยานิพนธ์ปริญญาโท โดย ชื่อ{{beginningWith}}
ตอนนี้กำลังแสดง1 - 20 ของ 27
ผลลัพธ์ต่อหน้า
ตัวเลือกเรียงลำดับ
รายการ ปัญหากฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน: ศึกษากรณีอำนาจและหน้าที่ของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร(2556-10-16T02:12:38Z) ภาสกร ชัยรุ่งโรจน์สกุลวิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอำนาจหน้าที่ของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ.2543 รวมทั้งระเบียบและกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อทำ ให้ทราบถึงปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานของนิติบุคคลตามกฎหมาย เนื่องจากนิติบุคคล หมู่บ้านจัดสรรที่เกิดขึ้น ไม่สามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย การจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร เพราะติดในเรื่องของกฎหมายที่ไม่ได้บัญญัติรองรับให้ ดำเนินการได้ตามความต้องการที่แท้จริง ทำให้นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรที่ตั้งขึ้นมีจำนวนน้อยมาก เมื่อเทียบกับจำนวนโครงการหมู่บ้านจัดสรรที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ เพราะการบัญญัติอำนาจหน้าที่ ตามกฎหมายของนิติบุคคลหมู่บ้านไม่ได้รับความสนใจให้ผู้ซื้อที่ดินต้องการจัดตั้ง ประกอบกับผู้ ซื้อบ้านจัดสรรไม่ยอมรับหรือไม่เต็มใจในเรื่องของการที่จะต้องรับภาระการจ่ายค่าบำรุงหมู่บ้าน ให้กับนิติบุคคลหมู่บ้าน เพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาสาธารณูปโภคภายในหมู่บ้าน เนื่องจาก อาจจะมีความสงสัยในการดำเนินการของคณะกรรมการนิติบุคคลหมู่บ้านที่ตนได้เลือกไป ดำเนินการบริหารหมู่บ้าน หรือไม่มั่นใจในกฎหมายที่ควบคุมอยู่ เพราะพระราชบัญญัติจัดสรรที่ดิน พ.ศ.2543 ไม่ได้บัญญัติอำนาจหน้าที่และการควบคุมกำกับดูแลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการ นิติบุคคลหมู่บ้านให้ชัดเจนและเข้าใจได้ดี พอที่จะไว้วางใจในการมอบอำนาจทั้งหลายทั้งปวงให้ กำกับดูแลแทน หากมีกฎหมายเพิ่มเติมหรือบัญญัติให้ชัดเจน เพียงพอ การที่ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรจะ ตัดสินใจรวมตัวกัน เพื่อจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรและเลือกตัวแทนไปบริหารชุมชนภายใน หมู่บ้าน เพื่อประโยชน์ของตนเองและทำให้หมู่บ้านมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาจนทำให้หมู่บ้านมี มูลค่าทางทรัพย์สินต่อไปนั้นมีส่วนมาก เพราะแต่ละชุมชนจะทราบถึงความต้องการหรือปัญหาภายในชุมชนได้ดีกว่าผู้อื่น และเป็นการส่งเสริมการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ แห่งประเทศไทย เป็นการเรียนรู้ถึงหลักการบริหารจากกลุ่มเล็กๆ ไปจนถึงระดับประเทศ และลด ภาระหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐที่จะต้องมาดำเนินการแก้ไขปัญหาให้กับแต่ละหมู่บ้าน จึงเป็น เจตนารมณ์ของรัฐที่จะให้มีแนวทางในการบริหารชุมชนกันเอง ดังนั้น วิทยานิพนธ์ฉบับนี้จึงมีข้อเสนอแนะว่า ควรจะมีการปรับปรุงเพิ่มเติมกฎหมายและ ระเบียบ ให้นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรมีอำนาจและหน้าที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับกิจการหมู่บ้านได้ มากกว่าเดิม โดยปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบให้นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรมีอำนาจและหน้าที่ได้ มากกว่าเดิม และกำหนดอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจนเพื่อประโยชน์ในการบริหารหมู่บ้านได้อย่างมี ประสิทธิภาพ และมีสภาพคล่องทำให้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรหรือผู้อาศัยเห็นถึงความสำคัญในการจัดตั้ง นิติบุคคลหมู่บ้านขึ้นมาบริหารงานแทนตนเองแบบบูรณาการ ควรปรับปรุงกฎหมายให้นิติบุคคล หมู่บ้านสามารถดำเนินการจัดหาผลประโยชน์ได้จากการให้บริการสาธารณะ หรือบริหาร สาธารณูปโภค เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับงบประมาณของหมู่บ้านให้มีงบประมาณในการปรับปรุง ซ่อมแซมสาธารณูปโภคภายในหมู่บ้านได้ โดยไม่ต้องพึ่งหน่วยงานภาครัฐ และสมาชิกของหมู่บ้าน และกำหนดในกฎหมายให้มีการตรวจสอบการดำเนินงานของคณะกรรมการนิติบุคคลหมู่บ้าน ใน การดำเนินการแสวงหาผลประโยชน์ให้ชัดเจน รัดกุม เพื่อความสุจริตตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย และกำหนดให้มีสภาพบังคับหรือบทลงโทษแก่คณะกรรมการหมู่บ้านที่กระทำการทุจริต หรือ กระทำความเสียหายแก่สมาชิกหรือนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร อีกทั้งควรกำหนดตำแหน่ง คณะกรรมการหมู่บ้านให้มี คณะกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารเข้ามาเป็น กรรมการที่ปรึกษา ได้แก่ หน่วยงานฝ่ายปกครองหรือท้องถิ่น กรมที่ดิน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อให้ คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาและตรวจสอบการทำงานของคณะกรรมการนิติบุคคลหมู่บ้านไว้อย่างมี ประสิทธิภาพต่อไปรายการ ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับการแต่งตั้งที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่นในรูปแบบเทศบาล(2556-10-21T04:06:26Z) ทวี ชอบชื่นชมเทศบาลเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบหนึ่งที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลและจัดตั้ง ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 โดยเทศบาลจัดแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ เทศบาลตำบล เทศบาลเมืองและเทศบาลนคร ส่วนรูปแบบของเทศบาลได้กำหนดรูปแบบของเทศบาลไว้รูปแบบ เดียว คือ รูปแบบนายกเทศมนตรี ซึ่งได้แบ่งโครงสร้างสำคัญของเทศบาลออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่าย บริหาร มีนายกเทศมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ คือ สภาเทศบาล ทั้งสองฝ่ายมา จากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน นอกจากนายกเทศมนตรีที่มีอำนาจหน้าที่ในการบริหาร ราชการของเทศบาลแล้ว พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 ยังให้อำนาจนายกเทศมนตรีอาจแต่งตั้ง ที่ปรึกษานายกเทศมนตรีและเลขานุการนายกเทศมนตรี ซึ่งมิใช่สมาชิกสภาเทศบาลได้ ในกรณี เทศบาลตำบลให้แต่งตั้งได้จำนวนรวมกันไม่เกิน 2 คน เทศบาลเมืองให้แต่งตั้งได้จำนวนรวมกันไม่ เกิน 3 คน และเทศบาลนครให้แต่งตั้งได้จำนวนรวมกันไม่เกิน 5 คน ส่วนการแต่งตั้งที่ปรึกษา นายกเทศมนตรี ตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 ต้องการให้ที่ปรึกษา นายกเทศมนตรี เป็นผู้ช่วยนายกเทศมนตรีในการบริหารราชการของเทศบาลเพื่อให้เป็นไปตาม หลักการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยให้ประชาชนมีอิสระในการปกครอง ตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น เพื่อสอดรับกับพระราชบัญญัติกำหนดแผนและ ขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542 จากการศึกษาพบว่าพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 ยังมีปัญหาด้านรูปแบบการแต่งตั้ง และโครงสร้างของที่ปรึกษานายกเทศมนตรี ด้านคุณสมบัติของที่ปรึกษานายกเทศมนตรี ด้าน บทบาทและอำนาจหน้าที่ของที่ปรึกษานายกเทศมนตรีที่มิได้กำหนดให้ที่ปรึกษานายกเทศมนตรีมีบทบาทและอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ด้านวิธีการดำเนินงานของที่ปรึกษานายกเทศมนตรี ซึ่ง ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบและก่อให้เกิดปัญหาในด้านต่างๆ ตามมา คือ ปัญหาด้านการ บริหารงานราชการของเทศบาลแบบมีส่วนร่วมของที่ปรึกษานายกเทศมนตรี และปัญหาด้าน คุณธรรม จริยธรรมกับการบริหารราชการเทศบาลของที่ปรึกษานายกเทศมนตรี ผู้ศึกษาขอเสนอแนะว่าควรแก้ไขและปรับปรุงพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 เพื่อมุ่ง ค้นหาวิธีการที่ดี หรือวิธีการที่เหมาะสมที่สุดในการแก้ไขปัญหากฎหมายเกี่ยวกับการแต่งตั้งที่ ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่นในรูปแบบเทศบาล อันจะทำให้รูปแบบการแต่งตั้ง และโครงสร้างของที่ ปรึกษานายกเทศมนตรี คุณสมบัติของที่ปรึกษานายกเทศมนตรีเกิดความชัดเจนและเหมาะสม ประกอบกับเป็นการสร้างบทบาทอำนาจหน้าที่ และวิธีการดำเนินงานทางการเมืองตามหลักการมี ส่วนรวมให้แก่ที่ปรึกษานายกเทศมนตรีในการทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยึดหลัก คุณธรรม จริยธรรมในการบริหารงานราชการของเทศบาลเป็นที่ตั้ง เพื่อให้ที่ปรึกษานายกเทศมนตรี เป็นผู้ช่วยนายกเทศมนตรีบริหารราชการอย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิพล อันจะนำไปสู่การ ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสนองตอบต่อความต้องการของประชาชนในการได้รับการบริการ สาธารณะจากเทศบาลตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียงอันเป็นแนวในการบริหารราชการของเทศบาลต่อไปรายการ ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับธุรกิจการค้ามนุษย์บนสื่ออิเล็กทรอนิกส์:ศึกษากรณีการขายบริการทางเพศบนเว็บแคม(2556-10-20T03:00:41Z) ชัยยุทธ เลิศหทัยดีจากการศึกษาในครั้งนี้พบว่าปัญหาในปัจจุบันยังคงมีการค้าประเวณีกันมาก และมีการ พัฒนามาเป็นการค้ามนุษย์พัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีหรือที่เรียกกันว่าสื่ออิเล็กทรอนิกส์จากเดิมเป็น การเขียนให้ปรากฏตัวอักษรแต่ปัจจุบันมีกล้องที่เป็นอุปกรณ์เสริมทางคอมพิวเตอร์โดยมี อินเทอร์เน็ต (Internet) เป็นตัวเชื่อมโยงผ่านระบบแคมฟร็อกหรือที่เรียกว่าเว็บแคม ซึ่งทำให้การค้า มนุษย์เป็นการค้าที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการติดต่อสื่อสาร ซึ่งมีรูปแบบการสมัครสมาชิกใน ระบบดังกล่าวและสามารถเลือกคู่สนทนาโดยเห็นหน้าตากันในระบบนี้หากผู้ใช้ได้เข้าใจในระบบ ดังกล่าวและสามารถใช้ระบบอย่างถูกวิธีโดยการติดต่อสื่อสารในรูปแบบธุรกิจก็สามารถทำให้ ธุรกิจได้รับความสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่บุคคลบางกลุ่มกลับนำระบบดังกล่าวมาใช้ในทางที่ ผิดกฎหมายและขยายไปถึงการก่อให้เกิดอาชญากรรมขึ้นในสังคมได้ จะเห็นว่าเมื่อมีการนำเทคโนโลยีมาใช้สื่อสารไปในทางที่ผิดจากเจตนารมณ์เป็นรูปแบบ การขายบริการทางเพศลักษณะธุรกิจโดยมีการเสนอราคาและตกลงราคากันโดยใช้ระบบเว็บแคม เป็นตัวเชื่อมธุรกิจดังกล่าวนี้เป็นธุรกิจที่แอบแฝงการกระทำผิดทางเพศและส่อสื่อลามกอนาจารโดย การโชว์ร่างกายผ่านกล้องเว็บแคมเพื่อเสนอราคาที่ได้ความพอใจและชำระเงินผ่านบัตรเครดิตโดย ระบบออนไลน์เข้าบัญชี จากการดำเนินธุรกิจดังกล่าวนี้เป็นการเกิดพฤติกรรมรูปแบบใหม่บนสื่อดัง กล่าวคือการแสดงลักษณะยั่วยุทางเพศรวมไปถึงการร่วมเพศในลำดับต่อมา ซึ่งผู้รับบริการสามารถ เข้าชมได้โดยต้องมีกล้องเว็บแคมเป็นตัวเชื่อมกับอินเทอร์เน็ตจึงสามารถเข้าระบบออนไลน์ได้ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 287 และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 ยังไม่สามารถระบุความรับผิดของบุคคลที่ทำธุรกิจรูปแบบการขายบริการทางเพศบนสื่ออิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นการขายบริการที่มีรูปแบบเป็นอิสรเสรี การประกอบธุรกิจดังกล่าวนี้เป็นการ นำเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาในระบบดังกล่าวมาใช้เพื่อติดต่อสื่อสารธุรกิจ แต่เมื่อธุรกิจดังกล่าวเป็น การขายบริการทางเพศเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่หลบหนีการกระทำความผิดจึงทำให้ปัจจุบันมีการ เสนอขายบริการทางเพศผ่านระบบดังกล่าวอยู่บ่อยครั้ง จึงควรมีกฎหมายลงโทษผู้ให้เช่าพื้นที่ของ ระบบดังกล่าวมารับผิดเนื่องจากยังไม่มีกฎหมายกำหนดความผิดที่ชัดเจน มาตรการความรับผิดของธุรกิจทางเพศในระบบเว็บแคมยังคงเป็นปัญหาที่ไม่สามารถนำ ตัวบทกฎหมายที่ชัดเจนมาบังคับใช้ เนื่องจาก “การค้าประเวณี” ตามพระราชบัญญัติป้องกันและ ปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 เป็นการยอมให้บุคคลอื่นร่วมเพศหรือการกระทำอื่นใดเพื่อ สำเร็จความใคร่ในกามารมณ์ของผู้อื่นแต่ไม่ได้หมายรวมถึงการร่วมเพศกันโดยให้ผู้รับบริการชม ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบเว็บแคม เช่นนี้จึงเกิดปัญหาว่า การกระทำเช่นนี้เป็นการค้ามนุษย์ ตามคำนิยามในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 รวมถึงผู้เช่ากับผู้ให้ เช่าพื้นที่บริการทางอินเทอร์เน็ตที่ต้องมีมาตรการทางกฎหมายในการร่วมรับผิดด้วยรายการ ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับสิทธิของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา: ศึกษากรณีการขอรับค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา(2556-10-16T02:28:10Z) วีนัส หมุดธรรมการศึกษาของผู้ศึกษาได้พบว่า สิทธิของจำเลยในคดีอาญาตามกระบวนการยุติธรรมของ ประเทศไทย ซึ่งมีกฎหมายรัฐธรรมนูญได้กล่าวถึงหลักสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทยไว้อย่าง ชัดเจน รวมถึงสิทธิของจำเลยในคดีอาญาที่ปรากฏหลักฐานต่อมาทีหลังว่ามิได้เป็นผู้กระทำ ความผิดจำเลยดังกล่าวนี้จึงสมควรได้รับความเป็นธรรมจากกฎหมายด้วยเช่นกัน จึงทำให้มี หน่วยงานของรัฐเข้ามามีอำนาจในการตรวจสอบและพิจารณาให้การช่วยเหลือเยียวยาแก่จำเลยใน คดีอาญาดังกล่าว รวมถึงจำเลยที่ถูกยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 และมาตรา 227 ที่ถูกยกฟ้องเช่นเดียวกันแต่ได้รับความเยียวยาช่วยเหลือจากรัฐไม่เสมอภาคกัน กล่าวคือถ้าเป็นจำเลยที่ถูกยกฟ้องตามมาตรา 185 จะได้รับความช่วยเหลือเยียวยาตามขั้นตอนของรัฐ หากเป็นการยกฟ้องตามมาตรา 227 ก็จะไม่ได้รับความช่วยเหลือเยียวยาจากรัฐ จากการศึกษาใน ครั้งนี้จึงมองเห็นสภาพปัญหาของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทยที่ยังให้สิทธิของ ประชาชนไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดยังคงกล่าวถึงสิทธิที่ประชาชนได้รับไม่ทั่วถึงจึงทำให้ขัดกับ กฎหมายรัฐธรรมนูญที่ได้กล่าวถึงเรื่องสิทธิไว้ จากบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นจะเห็นว่าจำเลยในคดีอาญาที่ปรากฏหลักฐานว่ามิได้มีส่วน เกี่ยวข้องในการกระทำความผิดนั้นเป็นผู้มีสิทธิได้รับความคุ้มครองจากรัฐ และยังเป็นผู้ที่สามารถ ยื่นขอรับค่าตอบแทน ค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายที่จำเป็นจากรัฐ โดยเป็นไปตามเงื่อนไขของกฎหมาย ที่บัญญัติในสิทธิของประชาชน การที่รัฐให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนในส่วนของจำเลยในการ ขอรับค่าตอบแทนจากรัฐเพื่อเป็นการเยียวยาความเสียหายของจำเลยที่มิได้เป็นผู้กระทำผิดในคดีนั้น ที่ได้รับความเดือดร้อนในระหว่างคดียังไม่สิ้นสุดไม่ว่าจะเป็นค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ ค่ารักษาพยาบาลหากได้รับความเจ็บป่วย รวมไปถึงอันตรายได้นับแต่วันที่มีคำพิพากษาว่ามิได้เป็น ผู้กระทำความผิดจริง จำเลยที่ศาลพิจารณาแล้วว่าไม่ได้มีความผิดจริงสามารถมีสิทธิในการขอความ ช่วยเหลือที่จำเป็นและเหมาะสมจากรัฐส่วนค่าตอบแทน ค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ให้ เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 40 (5) ใน การขอรับค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญาต้องเป็นตามหลักเกณฑ์ของพระราชบัญญัติค่าตอบแทน ผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544 สิทธิของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาประเทศไทยนั้นยังคงมีปัญหาบาง ประการที่ต้องเร่งพัฒนาในเรื่องสิทธิโดยเฉพาะสิทธิของจำเลยในคดีอาญาในการยกฟ้องตาม กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 และมาตรา 227 ที่กล่าวถึงการยกฟ้องจึงควรให้สิทธิแก่ จำเลยในคดีอาญาไม่ว่าจะเป็นการยกฟ้องตามมาตราไหนก็ควรได้รับสิทธิในการช่วยเหลือเยียวยา จากรัฐโดยเท่าเทียมกันและพัฒนากฎหมายให้เทียบทันกฎหมายต่างประเทศเพื่อนำไปสู่การแก้ไข ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรมของไทยรายการ ปัญหากฎหมายในการดำเนินงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน: ศึกษากรณีการเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมที่น่าสงสัย(2556-10-16T02:00:54Z) บุศรา เมตตาการศึกษาเรื่องปัญหากฎหมายในการดำเนินงานของสำนักงานป้องกันและปราบปราม การฟอกเงิน: ศึกษากรณีการเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมที่น่าสงสัย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) แนวความคิดเกี่ยวกับการฟอกเงินของไทยและต่างประเทศ การใช้ดุลพินิจการเข้าถึงข้อมูลและ หลักการกำหนดให้การฟอกเงินเป็นความผิดทางอาญา (2) มาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการ เข้าถึงข้อมูลของเจ้าหน้าที่ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินทั้งของประเทศไทย และต่างประเทศ (3) วิเคราะห์มาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงข้อมูลของเจ้าหน้าที่ ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินทั้งของประเทศไทยและต่างประเทศ และ (4) กำหนดมาตรการและข้อเสนอแนะในการเข้าถึงข้อมูลของผู้กระทำผิดฐานฟอกเงินและคุ้มครอง สิทธิเสรีภาพของประชาชน ผลการศึกษาพบว่าตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 (1) มาตรา 38 (3) ให้อำนาจมากเกินไปแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในการเรียกให้สถาบันการเงิน หรือส่วนราชการส่งข้อมูลหรือหลักฐานมายังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (2) การบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ง. ในการให้ผู้ประกอบการส่งมอบข้อมูลใน ธุรกรรมที่น่าสงสัยประการ เช่น มาตรการในการเข้าถึงบัญชี ข้อมูลทางการสื่อสารและข้อมูลทาง คอมพิวเตอร์ตามมาตรา 46 หลายครั้งเกิดจากเงื่อนไขการใช้อำนาจที่ไม่เหมาะสม ขาดความชัดเจน (3) การใช้ดุลพินิจพิจารณาธุรกรรมของพนักงานเจ้าหน้าที่ ในการปฎิบัติตามกฎหมายหลาย ครั้งขาดพยานหลักฐาน และไม่มีเหตุผลเพียงพอทำให้เกิดความเสียหาย(4) การเก็บรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด ตามพระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ไม่มีบทกำหนดโทษ และไม่มีอำนาจเข้าสู่ระบบคอม- พิวเตอร์ผ่านระบบอินเตอร์เนตของสถาบันการเงินได้โดยตรง ทั้งนี้ ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะสำหรับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ดังนี้ (1) ควรจะพิจารณาให้ความเห็นต่อรัฐมนตรีในการออกระเบียบกำหนด องค์ประกอบหลัก- ฐานและเหตุผลในการปฎิบัติหน้าที่ ตาม มาตรา 38 ของ กรรมการธุรกรรม เลขาธิการ และพนักงาน เจ้าหน้าที่ (2) ควรหามาตรการการใช้อำนาจเกินกว่าเหตุของพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งอาจเป็นความผิด ตามกฎหมาย และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จะต้องรับผิดต่อความเสียหายที่อาจ จะเกิดขึ้น (3) ควรจะพิจารณาให้ความเห็นต่อรัฐมนตรีในการออกระเบียบกำหนด องค์ประกอบของ การใช้ดุลพินิจ อันประกอบด้วย การใช้ดุลพินิจที่ไม่ขัดกับหลักกฎหมาย ไม่เกินขอบเขตที่กฎหมาย กำหนด ไม่บิดเบือนวัตถุประสงค์ของกฎหมายการฟอกเงิน มีขั้นตอนการพิจารณา มีพยานหลักฐาน หรือมีพยานบุคคล มีเหตุผลเพียงพอ และหรือข้อกำหนดอื่นๆ (4) ควรให้มีกฎหมายกำหนดบทลงโทษ ผู้เจตนาปกปิดรายการธุรกรรม การทำข้อมูลให้ สับสนเกินกว่าที่ควรจะเป็น การส่งรายการล่าช้า การบันทึกรายการธุรกรรมล่าช้า ให้กำหนดโทษ สมควรกับขนาดของธุรกรรมรายการ ปัญหาการกำหนดโทษทางอาญา: ศึกษากรณีการยกเลิกพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534(2556-10-16T02:23:32Z) อริสรา กันดิษฐ์วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาปัญหาการกำหนดโทษทางอาญา โดยศึกษา กรณีการยกเลิกพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 เนื่องจากสำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 โดยเตรียมการยกเลิกกฎหมายว่าด้วยความผิด อันเกิดจากการใช้เช็ค โดยมีแนวคิดว่า ปัจจุบันธุรกิจการเงินการธนาคารมีความเจริญก้าวหน้าทาง เทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้ธนาคารสามารถตรวจสอบข้อมูลของผู้ใช้เช็คได้อย่างรวดเร็วและ สมบูรณ์ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในเช็คอีกต่อไป จากการศึกษาศึกษาโดยค้นคว้าจากเอกสารทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ ตำรา กฎหมาย ตัวบทกฎหมาย บทความทางวิชาการ พบว่า ไม่สมควรยกเลิกพระราชบัญญัติว่าด้วย ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 แต่ควรแก้ไขเพิ่มเติมโดยการกำหนดโทษทางอาญาใหม่ เพราะพระราชบัญญัติดังกล่าวยังคงความน่าเชื่อถือในการใช้เช็คต่อวงการธุรกิจการค้าอยู่ หากมีการ ยกเลิกความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คในทางอาญา โดยมีเพียงความรับผิดทางแพ่งแต่เพียงลำพังก็ อาจทำให้ผู้เสียหายได้รับการชำระหนี้ที่ล่าช้าออกไป และที่สำคัญประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายอื่น หรือมาตรการอื่นเข้ามารองรับการใช้เช็คได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงอาจทำให้เช็คขาดความ น่าเชื่อถือและเป็นเหตุให้ผู้สั่งจ่ายหรือผู้ออกเช็คไม่มีความเกรงกลัวต่อการกระทำผิด ซึ่งจะทำให้ไม่ บรรลุวัตถุประสงค์ของการใช้เช็คที่ต้องการให้สาธารณชนเกิดความมั่นใจในการรับเช็ค สำหรับการทำธุรกรรมทางการค้าอันเป็นการส่งเสริมให้มีการใช้เช็คเป็นตราสารในการชำระหนี้แทนเงิน สด ผู้วิจัยจึงเห็นว่า เพื่อเป็นการบังคับใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 ให้เหมาะสม และเป็นการลดปัญหาในการกำหนดโทษทางอาญาเกี่ยวกับเช็ค จึงควรมีการ พิจารณาแก้ไขพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 โดยการยกเลิกโทษ จำคุกในมาตรา 4 กรณีที่กฎหมายมิได้บัญญัติถึงเจตนาทุจริตของผู้กระทำความผิด เนื่องจากมาตรา 4 (2) ถึง (4) อาจเป็นเหตุให้ผู้ออกเช็คที่มิได้มีเจตนาทุจริตที่จะไม่ใช้เงินตามเช็ค แต่อาจเกิดจาก สภาวะทางเศรษฐกิจขาดสภาพคล่องหรือความจำเป็นในทางธุรกิจบางประการของผู้ออกเช็ค เช่น ประสบปัญหากิจการขาดทุน ทำให้ไม่สามารถใช้เงินตามเช็คได้ ต้องรับโทษทางอาญา แต่ควรคง โทษจำคุกกรณีที่มีเจตนาในการกระทำความผิด และกำหนดโทษปรับให้มีจำนวนที่สูงขึ้น โดยต้อง ระวางโทษปรับตามจำนวนเงินที่สั่งจ่ายตามเช็ค อีกทั้งควรมีมาตรการเสริมโดยกำหนดให้มีเบี้ยปรับ ในทางแพ่งในการทำสัญญาเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน เมื่อเช็คถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน เพื่อให้ บรรลุวัตถุประสงค์ในการสร้างความน่าเชื่อถือในการใช้เช็ค และให้การกระทำความผิดเกี่ยวกับเช็ค มีจำนวนลดน้อยลงรายการ ปัญหาทางกฎหมายผังเมืองในการจัดการสิ่งแวดล้อมในชุมชน(2556-10-16T02:08:11Z) ธนกร ดรรชนีมาศการศึกษาวิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษาหลักแนวคิด ทฤษฎีและหลักกฎหมาย รวมทั้งปัญหาการ จัดการสิ่งแวดล้อมภายใต้กฎหมายผังเมือง จากปัญหาดังกล่าวพบว่า การที่กฎหมายผังเมือง กำหนดให้มีการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพียงครั้งเดียว เพื่อให้การวางและ จัดทำผังเมืองรวมเป็นไปได้อย่างกว้างขวาง รวดเร็ว และสอดคล้องกับสภาพการณ์และสิ่งแวดล้อม ที่เปลี่ยนแปลงไป จึงเป็นการไม่เหมาะสม จากปัญหาดังกล่าวผู้ศึกษาเห็นว่าการประชุมเพียงครั้ง เดียวหรือมากกว่านั้นก็มิใช่ปัญหา แต่ปัญหาที่สำคัญคือการดำเนินการแต่ละครั้งต้องให้ประชาชนมี ส่วนร่วมในการจัดการ ส่วนปัญหาการใช้อำนาจในการวางและจัดทำผังเมืองรวมตามกฎหมายผัง เมือง คณะกรรมการผังเมืองไม่ได้เป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในลำดับฝ่ายบริหาร ส่งผลต่อการเข้ามา แทรกแซงของฝ่ายบริหารในระดับสูงกว่าและก่อให้เกิดความไม่เป็นอิสระและความเป็นกลางใน การปฏิบัติงาน นอกจากนั้นปัญหาการเยียวยาก็ยังไม่ปรากฏความชัดเจนในกฎหมายไม่ว่าจะเป็น พระราชบัญญัติผังเมืองเอง หรือพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 ยังขาดข้อบัญญัติที่ชัดเจนในเรื่องการชดเชยเยียวยา ผู้มีส่วนได้เสียต่อการดำเนินการผังเมือง ทั้งนี้ เนื่องจากกฎหมายผังเมืองของไทยไม่ได้บัญญัติเกี่ยวกับการเยียวยาของผู้มีส่วนได้เสียจากการวางผัง เมือง ดังนั้น ผู้ศึกษาเห็นว่าควรมีการแก้ไขพระราชบัญญัติผังเมืองโดยเพิ่มมาตรการในการเยียวยา หรือบทบัญญัติในการเยียวยาสำหรับผู้มีส่วนได้เสีย และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเวนคืนโดย สามารถใช้เกณฑ์ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายของฝรั่งเศสเป็นแนวทางการในการกำหนดและสิทธิ ได้รับการชดใช้เยียวยาของผู้ที่ได้รับความเสียหายจากภาระจำยอมเพื่อประโยชน์สาธารณะรายการ ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมหน่วยงานของรัฐในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการพ.ศ.2540(2556-10-16T02:57:19Z) กุลปราณี ศรีใยวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาการควบคุมหน่วยงานของรัฐในการ ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 และศึกษาเพื่อกำหนดมาตรการ การลงโทษผู้บังคับบัญชาของหน่วยงาน ทั้งมาตรการควบคุมกำกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ กรณีไม่ปฏิบัติ ตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายนี้ จากการศึกษาพบว่า หน่วยงานของรัฐไม่ควบคุม กำกับดูแลให้ เจ้าหน้าที่ซึ่งมีผลโดยตรงแก่หน่วยงานของรัฐนั้นให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการตามมาตรา 13 ซึ่งทำให้ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายฉบับนี้ ทั้งที่คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผย ข้อมูลข่าวสารได้เคยมีคำวินิจฉัยและวางหลักกฎหมายให้วางหลักกฎหมายให้หน่วยงานของรัฐ เปิดเผยข้อมูลข่าวสารมาแล้ว จึงก่อให้เกิดปัญหาสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน เนื่องจากปัจจุบันประชาชนเข้าใจถึงสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของราชการมากขึ้น เมื่อตนไม่ สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารนั้นด้วยความสะดวก รวดเร็ว และเป็นธรรมแล้ว ย่อมมีสิทธิร้องเรียน ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยข้อมูลข่าวสาร ซึ่งกว่าจะได้รับทราบข้อมูลข่าวสารนั้นทำให้เกิดความล่าช้า ดังนั้นเพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของราชการ ผู้ศึกษาจึงได้ เสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาไว้ กล่าวคือ กำหนดมาตรการทางกฎหมายเพื่อลงโทษหน่วยงาน ของรัฐในฐานะผู้บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยตรง เพื่อให้เกิดความกระตือรือร้นในการปฏิบัติ หน้าที่ และเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540รายการ ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้ต้องหาและจำเลยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550:ศึกษากรณีการสันนิษฐานว่าเป็นผู้กระทำความผิดในชั้นก่อนมีคำพิพากษา(2556-10-16T02:45:23Z) เกียรติพงษ์ กมขุนทดวิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษาบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 39 ที่กำหนดไว้ว่าบุคคลไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่ได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ใน เวลาที่กระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่า โทษที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำความผิดมิได้และในคดีอาญาต้องสันนิษฐานไว้ ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด นอกจากนั้นก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใด ได้กระทำความผิดจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้ จากบทบัญญัติข้างต้นมี วัตถุประสงค์เพื่อมิให้ใช้มาตรการทางกฎหมายกระทำต่อผู้ต้องหาเพราะในอนาคตศาลอาจจะยก ฟ้องเพราะบุคคลนั้นไม่มีความผิดก็ได้ แต่กลไกมาตรการที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญาไม่ ว่าจะเป็นมาตรการในการจับกุม ควบคุม ขัง ปล่อยชั่วคราว การสอบสวน ล้วนแล้วแต่เป็นมาตรการ ที่จำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนแทบทั้งสิ้น จากการศึกษาพบว่ามาตรการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาโดยเฉพาะ มาตรา 134 ถึงสิทธิในการแจ้งข้อกล่าวหาของพนักงานสอบสวน มาตรา 92 สิทธิในการค้น มาตรา 108 สิทธิในการปล่อยชั่วคราว เป็นต้น มิได้เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้แต่อย่างใดล้วน แล้วแต่เป็นมาตรการที่ละเมิดต่อสิทธิของผู้ต้องหาแทบทั้งสิ้น จากการศึกษาผู้ศึกษาขอเสนอแนะว่า ควรกำหนดให้ผู้ถูกออกหมายจับหรือเจ้าบ้านที่ถูก ออกหมายค้น ได้มีสิทธินำพยานหลักฐานมาแสดงต่อศาลเพื่อหักล้างการเสนอขอออกหมายจับหรือหมายค้นของเจ้าพนักงานก่อนที่ศาลจะอนุมัติหมายดังกล่าวและควรให้พนักงานสอบสวนทำการ ออกหมายเรียกก่อนทุกครั้งที่จะมีการขอให้ศาลออกหมายจับ ในทุกความผิดและทุกอัตราโทษตาม กฎหมาย ซึ่งอัตราโทษจำคุกสำหรับความผิดที่จะออกหมายจับได้จากเดิมต้องมีอัตราโทษจำคุก อย่างสูงตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปและควรจำกัดเหตุในการจับโดยไม่มีหมาย ตามมาตรา 78 ให้เหลือเฉพาะ กรณีที่มีความเร่งด่วนซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีการจับโดยไม่มีหมายอย่างแท้จริงเท่านั้นไม่ควรเปิด โอกาสให้เจ้าหน้าที่ผู้จับกุมนำตัวผู้ถูกจับกุมไปทำการสืบสวนขยายผลหรือกระทำการอื่นใด ที่ไม่ ต้องนำตัวผู้ถูกจับกุมส่งพนักงานสอบสวนโดยทันทีและควรตัดอำนาจการควบคุมของพนักงาน สอบสวน จาก “48 ชั่วโมง” เป็น “24 ชั่วโมง” นอกจากนั้นกรณีที่เกิดความจำเป็นที่จะขังผู้ถูกจับเกิน กำหนดเวลา 24 ชั่วโมง ต้องให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอหมายขัง โดยพนักงาน สอบสวนต้องรายงานพฤติการณ์พิเศษในการขังผู้ถูกจับต่อศาลด้วย ส่วนในชั้นสอบสวนควร กำหนดให้พนักงานสอบสวนจัดการส่งสำเนาคำร้องทุกข์หรือคำกล่าวโทษให้แก่พนักงานอัยการ โดยไม่ชักช้า รวมทั้งให้รายงานการดำเนินการในส่วนที่ได้ดำเนินการไปแล้วไปยังพนักงานอัยการ ด้วยและควรให้พนักงานอัยการมีอำนาจหน้าที่กำกับและควบคุมโดยทั่วไปซึ่งการสอบสวนของ พนักงานสอบสวนรายการ ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง(2556-10-20T03:04:23Z) สัญชัย เนินปลอดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งทาง การเมืองต้องยื่นบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินทั้งตอนเข้ารับ ระหว่างและพ้นจากตำแหน่งเพื่อใช้ใน การตรวจสอบควบคุมทรัพย์สินที่จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงเพื่อป้องกันมิให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทุจริตคอรัปชั่น แต่ก็ยังพบว่าเป็นการรายงานทรัพย์สินและหนี้สินตามที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้นไม่ อาจจะนำผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมารับโทษฐานทุจริตคอรัปชั่นได้ จากการศึกษาพบว่า ควรมีการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ที่กำหนดให้นำอายุความในการฟ้องคดีและการสิ้นสุดการ พิจารณาคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาใช้บังคับโดยอนุโลมนั้นก่อให้เกิดปัญหาข้อจำกัดในการ ดำเนินคดีซึ่งแทนที่ทรัพย์สินของแผ่นดินจะไม่มีการกำหนดอายุความไว้ แต่กลับต้องถูกจำกัดด้วยอายุ ความตามประมวลกฎหมายอาญา ตลอดจนมาตรการยื่นบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินนั้นมีระวาง โทษน้อยเกินไปกับความเสียหายที่ประเทศชาติจะได้รับในการทุจริตคอรัปชั่นและการตรวจสอบการ กระทำความผิดกรณีไม่ยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน และยังพบว่าผู้ที่ทุจริตคอรัปชั่น สามารถถ่ายเททรัพย์สินที่ตนทุจริตยังอาศัยช่องว่างแห่งกฎหมายในการยื่นบัญชีรายการทรัพย์สินและ หนี้สินโดยสามารถถ่ายเททรัพย์ไปยังบุคคลที่ตนไว้วางใจได้ ดังนั้นผู้ศึกษาจึงขอเสนอแนะว่าควรมีบทบัญญัติในเรื่องอายุความไว้เป็นการเฉพาะหรือ อาจจะกำหนดว่าคดีทุจริตคอรัปชั่นไม่มีอายุความและกำหนดระวางโทษในการกระทำความผิดให้มี ความรุนแรงยิ่งขึ้นส่วนกรณีผู้ที่มีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินควรให้บุตรที่บรรลุนิติภาวะแล้วมีหน้าที่ต้องยื่นรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยเพื่อตัดปัญหาผู้ดำรงตำแหน่งทาง การเมืองหรือข้าราชการที่ทุจริตคอรัปชั่นถ่ายเททรัพย์สินที่ทุจริตโดยอาศัยช่องว่างแห่งกฎหมายที่ไม่ ต้องยื่นแสดงเพื่อตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินรายการ ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการสอบสวนในคดีจราจร(2556-10-16T01:54:47Z) จุมพล จั่นสังข์วิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษาปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการสอบสวนในคดีจราจรตาม พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 เป็นกฎหมายที่มุ่งเน้นบัญญัติให้ผู้กระทำความผิดจะต้องรับ โทษในทางเทคนิคตามหลักกฎหมายของอังกฤษเท่านั้น จนมีแนวคิดที่ขัดต่อหลักศีลธรรมอันดีของ ประชาชนและนำเอาหลักการกระทำความผิดมาผสมผสานกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา โดยไม่มีการแบ่งแยกให้ชัดเจนก่อให้เกิดปัญหาการฟ้องคดีข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ.2522 ผสมกับข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญาซึ่งมีแนวคิดและทฤษฎีที่แตกต่าง กัน กล่าวคือ ประมวลกฎหมายอาญามุ่งเน้นการปราบปรามผู้กระทำความผิดแต่พระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ.2522 เป็นกฎหมายที่มุ่งเน้นการสร้างกฎและกติกาในการใช้รถใช้ถนนเพื่อลด อุบัติเหตุบนท้องถนนเท่านั้นจึงควรมีการแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิงเช่นเดียวกับกฎหมายของ สหพันธรัฐเยอรมันและสาธารณรัฐฝรั่งเศสเพื่อเป็นการลดคดีขึ้นสู่ศาลและให้อำนาจเจ้าหน้าที่ใน การเปรียบเทียบปรับเพื่อให้คดีสิ้นสุดโดยเร็ว จากการศึกษาผู้ศึกษาพบว่าความบกพร่องในการบังคับใช้กฎหมายของตำรวจจราจรนั้น มาจากสาเหตุหลายประการด้วยกันไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ขาดความรู้ความเข้าใจในกฎหมายไม่ สามารถตีความกฎหมายได้ชัดเจน ละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือมีการใช้อิทธิพลแสวงหา ผลประโยชน์ อันทำให้เกิดข้อบกพร่องต่าง ๆ ตามมา รวมทั้งการฝ่าฝืนกฎจราจรของผู้ใช้รถใช้ถนน หรือการเกิดปัญหาการจราจรติดขัดจากสาเหตุต่าง ๆ ดังนั้นผู้ศึกษาขอเสนอแนะว่า การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจจราจรถือเป็นส่วนสำคัญของ การแก้ปัญหา หากการบังคับใช้กฎหมายของตำรวจจราจรอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ขับขี่รถก็ย่อมเกิด ความเกรงกลัวต่อกฎหมาย ไม่กล้าละเลยกระทำความผิด ทำให้เกิดระเบียบวินัยในการใช้รถใช้ถนนและส่งผลต่อสภาพการจราจรที่ดีขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากเจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ อย่างเคร่งครัด อาจส่งผลให้เกิดปัญหาด้านการจราจรตามมา เมื่อพฤติกรรมของตำรวจจราจรมีผล ต่อสภาพจราจรรายการ ปัญหาทางกฎหมายในการกระจายอำนาจการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(2556-10-16T02:18:59Z) ประจิม มงคลสุขการศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมายในการ กระจายอำนาจการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เนื่องจากพระราช- บัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ได้บัญญัติให้มีการกระจายอำนาจการบริหารจัดการศึกษาไปสู่ สถานศึกษาโดยตรง แต่ในทางปฏิบัติสถานศึกษายังขาดความมีอิสระและความคล่องตัวใน การดำเนินการด้านการบริหารงานบุคคล ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานบุคคลของ ข้าราชการครูและบุคลากรทางศึกษา จึงได้ทำการศึกษาเพื่อให้ทราบว่ามีการกระจายอำนาจดังกล่าว ไปสู่สถานศึกษาอย่างแท้จริงตามที่พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ได้กำหนดไว้ หรือไม่ ผลการศึกษาพบว่าการกระจายอำนาจการบริหารงานบุคคลด้านการสรรหาตำแหน่ง ข้าราชการครูและผู้บริหารสถานศึกษายังไม่มีการกระจายอำนาจให้กับสถานศึกษา โดยที่อำนาจ ดังกล่าวยังอยู่ที่องค์คณะและผู้บังคับบัญชาระดับเขตพื้นที่การศึกษาขึ้นไป อีกทั้งการกระจายอำนาจ การบริหารงานบุคคลด้านการบรรจุและแต่งตั้งยังไม่มีการกระจายอำนาจทั้งหมด สถานศึกษามี อำนาจบางส่วน แต่อำนาจส่วนใหญ่ยังอยู่กับองค์คณะและผู้บังคับบัญชาระดับเขตพื้นที่การศึกษา ขึ้นไป นอกจากนี้การกระจายอำนาจการบริหารงานบุคคลด้านการพิจารณาความดีความชอบ ยังไม่มี การกระจายอำนาจทั้งหมด สถานศึกษามีอำนาจเพียงเสนอความเห็น แต่อำนาจในการเห็นชอบ ในการพิจารณาความดีความชอบยังเป็นอำนาจขององค์คณะและผู้บังคับบัญชาระดับเขตพื้นที่ การศึกษาขึ้นไป และการกระจายอำนาจการบริหารงานบุคคลด้านการดำเนินการทางวินัย ยังไม่มี การกระจายอำนาจทั้งหมด สถานศึกษามีอำนาจดำเนินการทางวินัยไม่ร้ายแรง ส่วนการดำเนินการ ทางวินัยอย่างร้ายแรงมีอำนาจดำเนินการบางตำแหน่ง แต่ส่วนใหญ่อำนาจการดำเนินการและอำนาจ การพิจารณาลงโทษยังเป็นอำนาจขององค์คณะและผู้บังคับบัญชาระดับเหนือเขตพื้นที่การศึกษาขึ้น ไป โดยผู้ศึกษามีข้อเสนอแนะว่าควรแก้ไขเพิ่มพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษา พ.ศ.2547 มาตรา 26 และมาตรา 47 ให้อำนาจคณะกรรมการสถานศึกษาเป็นผู้มี อำนาจดำเนินการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและสอบ คัดเลือกผู้บริหารสถานศึกษา และควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและ บุคลากรทางศึกษา พ.ศ.2547 มาตรา 53 ให้สถานศึกษามีอำนาจในการบรรจุและแต่งตั้งทุกตำแหน่ง ในสถานศึกษา โดยอนุมัติคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และควรแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางศึกษา พ.ศ.2547 โดยให้คณะกรรมการ สถานศึกษามีอำนาจในการเห็นชอบการพิจารณาความดีความชอบทุกตำแหน่งในสถานศึกษา นอกจากนั้นควรให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางศึกษา พ.ศ.2547 ให้สถานศึกษามีอำนาจดำเนินการทางวินัยอย่างร้ายแรงทุกตำแหน่ง โดยความเห็นชอบ จากคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานรายการ ปัญหาทางกฎหมายในการควบคุมการจำหน่ายพืชป่า(2556-10-21T03:59:08Z) ธนภรณ์ ฉายาชวลิตวิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษาปัญหาทางกฎหมายในการควบคุมการจำหน่ายพืชป่าโดยพิจารณา ถึงกฎหมายที่ได้มีการอนุวัติตามอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดของพืชป่าที่ใกล้จะ สูญพันธุ์ตามสนธิสัญญา “ไซเตส” เมื่อการค้าพืชป่าเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างกำไรได้โดยไม่ต้อง ลงทุนเมื่อเปรียบเทียบกับผลประโยชน์ที่ได้มาอย่างมหาศาล อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พืชป่าลด จำนวนลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเกิดจากปัญหาความไม่ชัดเจนในบทบัญญัติกฎหมาย การใช้อำนาจหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่ในการออกใบอนุญาตหรือใบรับรองการนำเข้า ส่งออกหรือนำผ่าน ซึ่งพืชป่าและ ปัญหาความเป็นเอกภาพของกฎหมาย แม้ในประเทศไทยจะมีการควบคุมพืชป่าอยู่หากมีการกำหนด ความหมายและวิธีการควบคุมการจำหน่ายพืชป่าไว้อย่างชัดเจนอาจสามารถแก้ไขปัญหาการค้าพืช ป่าได้ จากการศึกษาพบว่าการควบคุมการจำหน่ายพืชป่าตามกฎหมายที่ได้มีการอนุวัติตาม อนุสัญญาไซเตสและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการจำหน่ายพืชป่านั้นไม่มีประสิทธิภาพ เพียงพอในการที่จะบังคับใช้กฎหมายและความไม่ชัดเจนในคำนิยามของบทบัญญัติแห่งกฎหมาย และอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในการออกใบอนุญาตหรือใบรับรองการนำเข้า ส่งออกหรือนำผ่าน ซึ่งพืชป่าพบว่าเป็นการออกใบอนุญาตของอธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายและการออกใบอนุญาต ของพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่สอดคล้องกันและความเป็นเอกภาพของกฎหมายที่ไม่มีความเป็นหนึ่ง เดี่ยวกัน เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปรับปรุงเพิ่มเติมบทบัญญัติของกฎหมายภายในประเทศไทยหรือการ ออกกฎหมายเฉพาะ เพื่อควบคุมการจำหน่ายพืชป่าที่อยู่ในป่าธรรมชาติโดยตรงในอนาคตได้จะทำ ให้ประเทศไทยมีกระบวนการควบคุมการจำหน่ายพืชป่าที่ชัดเจนและเกิดความสำเร็จในระดับ มาตรฐานสากลที่สูงขึ้นรายการ ปัญหาทางกฎหมายในการใช้สิทธิเลือกตั้งของผู้ต้องหาและจำเลยในคดีอาญา(2556-10-21T03:55:13Z) นภัสถวัลย์ บุนนาคการเลือกตั้ง (Elections) ถือว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนจะพึงมีและได้รับไม่ว่า จะอยู่ในสถานะใดและเป็นหลักสำคัญกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยในการแสดงออกซึ่ง เจตนารมณ์ที่จะมีสิทธิทางการเมืองการปกครองจึงก่อให้เกิดปัญหาว่าบุคคลที่เป็นผู้ต้องหาหรือ จำเลยในคดีอาญาจะมีสิทธิในการเลือกตั้งหรือแสดงสิทธิของตนผ่านการเลือกตั้งได้มากน้อย เพียงใด จากการศึกษาวิเคราะห์ว่า การที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 72 บัญญัติให้บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งและถ้าไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจะถูกตัดสิทธิ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ การที่กฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดไว้เช่นนี้ก็เท่ากับว่าประชาชนที่มีสิทธิ เลือกตั้งจะต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เพราะการเลือกตั้งถือว่าเป็น “หน้าที่” มิใช่เป็น “สิทธิ” ของ ประชาชน แต่เมื่อพิจารณาถึงสถานะของผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาย่อมไม่สิทธิในการเลือกตั้ง ประกอบกับเพื่อความมั่นคงของรัฐ การหลบหนีของผู้ต้องหรือจำเลยในคดีอาญาหรือกฎหมาย ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาและการเลือกตั้ง ส่วนท้องถิ่นกำหนดให้คุณสมบัติของบุคคลที่ไม่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้กำหนดไว้ในมาตรา 100 (3) บัญญัติห้ามบุคคลที่ต้องคุมขังอยู่โดยหมายของศาลหรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นย่อมทำให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาไม่มีสิทธิในการแสดงเจตนารมณ์ของตนผ่านระบบ การเลือกตั้งได้ จากการศึกษาผู้ศึกษาเสนอแนะว่า เพื่อมิให้บุคคลเหล่านี้ถูกมอบข้ามในทางสังคมควร ได้รับสิทธิเลือกตั้งโดยควรมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาและการเลือกตั้งส่วนท้องถิ่นด้วย โดยตัด บทบัญญัติที่ให้กำหนดคุณสมบัติของบุคคลที่ไม่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งตามมาตรา 100 (3) ออก ถ้าหากผู้ต้องหาและจำเลยในคดีอาญาไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวและนำไปคุมขังไว้ในเรือนจำ หรือทัณฑสถาน ควรจัดให้มีคูหาเลือกตั้งภายในเรือนจำ เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการเลือกตั้ง ส่วน การตรวจสอบรายชื่อของผู้ต้องหาและจำเลยในคดีอาญากับนักโทษอื่น ๆ เป็นไปได้โดยง่ายอยู่แล้ว เพราะตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พุทธศักราช 2479 บัญญัติให้มีการแยกการคุมขังต่างหากจาก กัน ส่วนการกำหนดภูมิลำเนาของผู้ต้องหาและจำเลยในคดีอาญา ซึ่งถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมี คำพิพากษาของศาลถึงที่สุดว่ากระทำผิดจริง ก็ให้ถือภูมิลำเนาเดิมของผู้ต้องและจำเลยในคดีอาญา นั่นเอง ส่วนภูมิลำเนาของผู้ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดกำหนดให้อยู่ในเรือนจำหรือทัณฑ สถานที่ถูกจำคุกอยู่จนกว่าจะได้รับการปล่อยตัวซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47 นอกจากนั้นเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ต้องหาและจำเลยในคดีอาญาในวัน เลือกตั้งควรจะมีการแก้ไขกฎหมายหรือข้อบังคับให้ยอมให้ผู้ต้องหาและจำเลยในคดีอาญาไป ลงคะแนนเสียงที่ใดก็ได้ที่เป็นหน่วยเลือกตั้งที่ตนถูกคุมขังอยู่ในขณะนั้นโดยไม่จำเป็นต้องเดินทาง กลับไปยังภูมิลำเนาที่ตนมีทะเบียนบ้านอยู่เพื่อเลือกผู้สมัครที่ตนต้องการ แต่ให้มีการลงทะเบียน แสดงเจตจำนงในการลงคะแนนในที่นั้น ๆ เป็นการล่วงหน้าก่อนและควรเปิดโอกาสให้ นักการเมืองและพรรคการเมืองต่าง ๆ ได้เข้ามาหาเสียงในเรือนจำได้ด้วย เพื่อให้นักการเมืองจะ ทราบถึงปัญหาต่าง ๆ ของผู้ต้องหาและจำเลยในคดีอาญารายการ ปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายเกี่ยวกับการจัดสรรที่ดินของรัฐในรูปแบบโฉนดชุมชน(2556-10-16T02:31:48Z) เกศรา ระจะนิตย์วิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษาการจัดสรรที่ดินของรัฐในรูปแบบโฉนดชุมชนนั้นมีประเด็น ปัญหาความเสมอภาคของประชาชนเกี่ยวกับการให้สิทธิในโฉนดชุมชนและการกำหนดขอบเขต และลักษณะเกี่ยวกับความหมายของชุมชนและโฉนดชุมชนที่กำหนดไว้ในระเบียบสำนัก นายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดการโฉนดชุมชน พ.ศ.2553 นั้น และก่อให้เกิดปัญหาการจำแนก ประเภทผู้ถือสิทธิครอบครองในโฉนดชุมชนและการพิสูจน์สิทธิเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ของโฉนด ชุมชนไม่อาจพิสูจน์สิทธิความเป็นเจ้าของได้และปัญหาการให้สำนักนายกรัฐมนตรีเป็น ผู้ดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดการโฉนดชุมชน พ.ศ.2553 นั้น จากการศึกษาพบว่า การดำเนินการของรัฐในการจัดสรรที่ดินเกี่ยวกับโฉนดชุมชนเป็น การดำเนินการที่ขัดต่อหลักความเสมอภาคเพราะการที่รัฐมอบโฉนดชุมชนให้กับชุมชนตามที่ กำหนดไว้ในเงื่อนไขของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นการจำกัดสิทธิชุมชนอื่นที่ไม่ได้ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในระเบียบ ส่วนการกำหนดขอบเขตและลักษณะเกี่ยวกับ ความหมายของชุมชนและโฉนดชุมชนที่กำหนดไว้ในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการ จัดการโฉนดชุมชน พ.ศ.2553 นั้น เป็นลักษณะนามธรรมโดยปราศจากการรองรับจากกฎหมายใน ระดับพระราชบัญญัติหรือประมวลกฎหมายหมายจนทำให้ปราศจากสถานะภาพทางกฎหมายและ ไม่อาจจะประกันความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนผู้ได้รับสิทธิตามโฉนดชุมชนได้ ส่วนปัญหาการ จำแนกประเภทผู้ถือสิทธิครอบครองในโฉนดชุมชน เมื่อชุมชนใดได้โฉนดชุมชนมาถือครองแล้ว ใครที่จะสามารถเข้าไปบริหารจัดการได้ ถึงแม้ว่าตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีจะกำหนดให้อยู่ ในรูปแบบของคณะกรรมการก็ตาม แต่มิได้หมายความว่าทุกคนจะสามารถเข้าไปทำกินในพื้นที่โฉนดชุมชนได้ซึ่งขึ้นอยู่กับการกำหนดเงื่อนไขและหลักเกณฑ์จากคณะกรรมการ ดังนั้นจึงมีปัญหา ทำให้ประชาชนมีการทับซ้อนบริเวณทำกินและก่อให้เกิดความขัดแย้งภายในชุมชนและปัญหาการ กำหนดอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานรัฐในการดำเนินการตามระเบียบของสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่ง เป็นหน่วยงานที่มิได้มีจุดเกาะเกี่ยวในการจัดสรรที่ดินแต่กลับให้สำนักนายกรัฐมนตรีเป็น หน่วยงานหลักในการดำเนินการจัดทำโฉนดชุมชนซึ่งอำนาจในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม เกี่ยวกับที่ดินปัจจุบันเป็นอำนาจของกรมที่ดินในการดำเนินการถ้าปรากฏว่ามีการโอนโฉนดชุมชน จะมีหน่วยงานใดเป็นผู้รับผิดชอบระหว่างให้สำนักนายกรัฐมนตรีหรือกรมที่ดินเป็นผู้จดทะเบียน สิทธิและนิติกรรม จากการศึกษาขอเสนอแนะว่า รัฐควรที่จะจัดสรรให้ทั่วถึงและยุติธรรม เพราะบุคคลที่อยู่ ภายในป่าก่อนมีการประกาศใช้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดการโฉนดชุมชน พ.ศ. 2553 ถือว่าเป็นผู้บุกรุกส่วนปัญหาการพิสูจน์สิทธิในการถือครองกรรมสิทธิ์ของโฉนดและปัญหา การจำแนกประเภทผู้ถือสิทธิครอบครองในโฉนดชุมชน รัฐบาลควรออกกฎหมายในระดับ พระราชบัญญัติหรือประมวลกฎหมายรับรองสิทธิในโฉนดชุมชนและสิทธิชุมชนโดยการบัญญัติ เพิ่มเติมไว้ในประมวลกฎหมายที่ดินในลักษณะของกรรมสิทธิ์ร่วมหรือโฉนดชุมชน โดยไม่มี กำหนดระยะเวลาและให้สามารถสืบทอดทางมรดกได้ โดยการกำหนดเงื่อนไขให้รัฐสามารถที่จะ เพิกถอนโฉนดชุมชนได้ทั้งแปลงหากชุมชนไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงร่วมระหว่างรัฐกับชุมชนและ รัฐบาลควรจะยกระดับที่ดินเป็นพื้นที่โฉนดชุมชนได้โดยกำหนดให้ทำข้อตกลง ระเบียบและกติกา ร่วมที่ชัดเจนจะช่วยให้ชุมชนเมืองสามารถพัฒนาชุมชนได้ดียิ่งขึ้นรวมถึงจะช่วยแก้ไขปัญหาชุมชน เมืองซึ่งเป็นปัญหาของเมืองใหญ่ทั่วประเทศรายการ ปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายเกี่ยวกับการจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง: ศึกษากรณีบริษัทนายจ้างเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ(2556-10-21T04:12:46Z) สุธีรา สีมาวงษ์เมื่อลูกหนี้เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการย่อมเป็นไปตาม “หลักสภาวะการพักการบังคับ ชำระหนี้” (Automatic stay) ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 ทำให้เจ้าหนี้ ได้รับชำระหนี้ตามลำดับก่อให้เกิดความล่าช้าและเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ไม่ครบถ้วนหรืออาจจะ ไม่ได้รับชำระหนี้เลย นอกจากนั้นในส่วนของการฟื้นฟูกิจการมีขั้นตอนกระบวนการที่ยุ่งยาก ก่อให้เกิดปัญหาการขอรับชำระหนี้โดยเฉพาะในหนี้คดีแรงงานที่จะต้องมีภาระดูแลครอบครัว ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 278(3) กำหนดเป็นหนี้บุริมสิทธิลำดับที่สามและ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2551) มาตรา 11 ซึ่งเป็นกฎหมาย เฉพาะกำหนดให้หนี้ที่เกิดจากการไม่ชำระค่าจ้างอยู่ในลำดับเดียวกับหนี้ภาษีอากร จากสภาพปัญหาข้างต้นเห็นว่าควรให้เจ้าหนี้คดีแรงงานได้รับยกเว้นไม่ต้องยื่นคำร้อง ขอรับชำระหนี้และเมื่อลูกหนี้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการควรให้ศาลพิจารณาก่อนว่ามีเหตุอันสมควร ที่จะให้ลูกหนี้ฟื้นฟูกิจการหรือไม่ก่อน เมื่อศาลได้ไต่สวนได้ความจริงแล้วว่าบริษัทลูกหนี้สมควรที่ จะเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ จึงจะเข้าสู่สภาวะการพักการบังคับชำระหนี้และควรคุ้มครอง ลูกหนี้ที่สุจริตเท่านั้น ถ้าลูกหนี้ไม่สุจริตหรือเพื่อประวิงเวลาการชำระหนี้ควรมีมาตรการลงโทษ ทางกฎหมายโดยเพิ่มบทบัญญัติให้ศาลสั่งให้ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลายทันที นอกจากนั้นเจ้าหนี้ คดีแรงงานควรได้รับชำระหนี้ก่อนโดยจัดกลุ่มให้เจ้าหนี้คดีแรงงานได้รับชำระหนี้ลำดับแรก ใน ส่วนการที่ลูกหนี้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการศาลได้มีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการต่อมาภายหลังเจา้ หนี้ รายอื่นยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการเข้ามาอีกย่อมตกอยู่ในสภาวะการพักการบังคับชำระหนี้เช่นเดิม ก่อให้เกิดปัญหาการชำระหนี้ล่าช้า ดังนั้นถ้าเจ้าหนี้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการเข้ามาอีกโดยมูลเหตุ เดียวกันให้ศาลยกคำร้องนั้นเสีย แต่ถ้าการที่เจ้าหนี้ยื่นเข้ามาคนละมูลเหตุกันควรมีการกำหนดระยะเวลาในการยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการในครั้งที่สอง โดยการที่เจ้าหนี้รายอื่นจะยื่นคำร้องขอ ฟื้นฟูกิจเข้ามาหลังจากที่ศาลได้มีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการไปแล้วในครั้งแรกให้ยื่นภายใน กำหนดระยะเวลาตามสมควร เช่น อาจจะภายใน 1 เดือน นับแต่ที่ศาลมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ ในครั้งแรกถ้ายื่นภายหลังกำหนดระยะเวลาดังกล่าวให้เจ้าหนี้หรือบุคคลผู้มีส่วนได้เสียหมดสิทธิที่ จะยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการรายการ ปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายเกี่ยวกับการจ่ายเงินอุดหนุนเฉพาะกิจแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550(2556-10-16T03:01:59Z) ดรุณี นันทชัยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้ กำหนดแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการกระจายอำนาจทางการเงินและการ คลังให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้มีอิสระในการบริหารงานและรัฐส่วนกลางทำหน้าที่ เพียงกำกับดูแลให้ปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติกำหนดแผนและ ขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542 รวมทั้งระเบียบและ กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตามกฎหมายเกี่ยวกับการจ่ายเงินอุดหนุนเฉพาะกิจแก่องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ซึ่งทำให้มีปัญหา ผลกระทบโดยตรงเกี่ยวกับการบริหารงานของผู้บริหารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ยังมี อุปสรรคหลายประการ เช่น ปัญหาด้านการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลให้แก่องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ด้านอำนาจหน้าที่ในการบริหารเงินอุดหนุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การ แบ่งแยกอำนาจ การกระจายอำนาจ การถอดถอน ด้านการถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ด้านบุคลากร ทางระบบ ทางส่วนราชการ ทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ด้านการ วางแผน จากการวิเคราะห์ พบว่า กฎหมายแม่บทได้ให้อำนาจในการบริหารงานแก่องค์กรปกครอง ท้องถิ่นไว้ตามหลักการกระจายอำนาจ แต่กฎหมายลำดับรองก็ยังไม่สามารถช่วยให้กฎหมายแม่บทมีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่โดยที่กฎหมายลำดับรองไม่สามารถที่จะขัดหรือแย้งกับกฎหมายแม่บท ตามลำดับชั้นของกฎหมายและหลักกฎหมายมหาชนได้ ควรมีการแก้ไขบัญญัติของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการจ่ายเงินอุดหนุน เฉพาะกิจแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้ท้องถิ่นนำงบประมาณไปบริหาร เพื่อการปฏิบัติ ตามภารกิจที่ได้รับควรเพิ่มเติมเนื้อหาในกฎหมายลำดับรองเพื่อให้เป็นแนวทางเดียวกันกับกฎหมาย แม่บทอันได้แก่กฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 เช่น การจัดสรร งบประมาณของรัฐบาลให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรเป็นการจัดสรรเงินอุดหนุนแบบไม่มี เงื่อนไขเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำงบประมาณนั้นไปพัฒนาท้องถิ่นให้ตรงกับความ ช่วยเหลือและความต้องการของประชาชนได้ การบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรเป็นวิธีการกำกับดูแลให้ปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อให้เป็นไปตามหลักกฎหมายแม่บทและเป็นไป ตามหลักการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นผู้บริหารกิจการงานและบริหารในด้านการเงินและการคลังอย่างอิสระภายใต้กรอบอำนาจที่ กฎหมายให้ไว้ การถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องมีการวางแผนงานที่ดีและ ต้องคำนึงถึงความสามารถหรือความพร้อมของบุคลากรผู้ที่จะปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพและเป็น ประโยชน์ต่อประชาชนในส่วนรวมของท้องถิ่นนั้นได้รายการ ปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของกำนันและผู้ใหญ่บ้านในเขตเทศบาลเมือง: ศึกษากรณีตามมาตรา 4แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496(2556-10-21T04:18:09Z) สุรเชษฐ์ แก้วคำมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 ที่บัญญัติมิให้มีการใช้กฎหมายว่าด้วย ลักษณะปกครองท้องที่ในส่วนที่บัญญัติถึงการแต่งตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านและให้บรรดาบุคคลที่เป็น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน พ้นจากตำแหน่งหน้าที่เฉพาะในเขตเทศบาลเมือง ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ได้มี การประกาศกระทรวงมหาดไทยยกฐานะท้องถิ่นใดเป็นเทศบาลเมืองเป็นเหตุให้ไม่มีบุคคลากรของ ฝ่ายปกครองในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช 2457 จึงเท่ากับเป็นการยกเลิกพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่พระพุทธศักราช 2457 ไปโดยปริยาย ทำให้การรักษาความสงบเรียบร้อยในหมู่บ้าน การอำนวยความเป็นธรรม การบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ประชาชนขาดประสิทธิภาพเป็นผลให้เกิดปัญหาสังคมต่าง ๆ ตามมา เช่น ปัญหาการประทุษร้าย ต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชน ปัญหาแพร่ระบาดของยาเสพติด ประชาชน ในหมู่บ้าน/ชุมชนไม่มีคนกลางในการประสานหรืออำนวยความสะดวกในการติดต่อหรือรับบริการ กับส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่มีการประชุมราษฎรเพื่อ ชี้แจงกฎหมายหรือระเบียบแบบแผนของทางราชการ เมื่อมิให้มีการแต่งตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านจึงไม่มี คณะกรรมการหมู่บ้านที่จะปฏิบัติหน้าที่ไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทในหมู่บ้าน เมื่อเกิดปัญหาข้อพิพาท ขึ้นในหมู่บ้าน/ชุมชน จึงไม่มีคณะผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทนั้นให้ยุติลงในชั้นหมู่บ้าน/ชุมชน ส่งผลให้มี คดีความมาสู่ศาลมากขึ้น สิ้นเปลืองงบประมาณทั้งของคู่ความและของราชการและการยกเว้นไม่ให้ มีกำนันและผู้ใหญ่บ้านในเขตเทศบาลเมืองนั้น ยังส่งผลให้การบริหารราชการแผ่นดินโดยเฉพาะ ราชการส่วนภูมิภาคระดับ จังหวัด อำเภอ ขาดประสิทธิภาพ เนื่องจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ช่วยเหลือนายอำเภอในการนำนโยบายข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี มติคณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม ไปปฏิบัติให้บรรลุผลทั่วทุกตำบล หมู่บ้าน จากการศึกษาพบว่ากำนัน และผู้ใหญ่บ้าน มีอำนาจและหน้าที่เน้นหนักไปในเรื่องการ รักษาความสงบเรียบร้อย การอำนวยความเป็นธรรมให้แก่ราษฎร การไกล่เกลี่ยประนีประนอมข้อ พิพาท การเป็นคนกลางประสานงานระหว่างราษฎรและส่วนราชการต่าง ๆ ส่วนเทศบาลเมืองจะมี อำนาจหน้าที่เน้นหนักไปในด้านการจัดทำบริการสาธารณะ การบำรุงรักษาทางบก ทางน้ำ จัดให้มี ไฟฟ้า ประปา สาธารณูปโภค สาธารณูปการต่างๆ จึงไม่ได้มีความซ้ำซ้อนกับอำนาจและหน้าที่ ของ กำนันและผู้ใหญ่บ้านแต่อย่างใด จากการศึกษาดังกล่าวผู้ศึกษาเห็นว่าในด้านการปกครองและการรักษาความสงบเรียบร้อย ในตำบล หมู่บ้านนั้น ทางราชการจำเป็นต้องอาศัยกำนันและผู้ใหญ่บ้าน ช่วยเป็นหูเป็นตาให้แก่ เจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองอยู่เช่นเดิม เช่น การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด การเป็นแหล่งข่าว ให้กับทางราชการ ทั้งนี้เนื่องจากกำนัน และผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ที่อยู่ในพื้นที่และมีความใกล้ชิดกับ ราษฎรมากกว่าราชการ มีข้อมูลปัญหาความต้องการต่าง ๆ ของประชาชนเป็นอย่างดี จึงสมควรให้มี การแก้ไขกฎหมายให้มีการแต่งตั้งกำนันและผู้ใหญ่บ้านให้ครบทุกหมู่บ้านเช่นเดิม แม้ว่าจะมีการ ยกระดับฐานะท้องถิ่นใดให้เป็นเทศบาลเมืองหรือเทศบาลนครก็ตามรายการ ปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายในการประกอบวิชาชีพวิศวกรโยธาภายใต้กรอบการเปิดเสรีการค้าอาเซียน(2556-10-20T02:51:35Z) นำโชค หมั่นทำวิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษาปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม โยธาภายใต้กรอบการเปิดเสรีทางการค้าอาเซียน (Legal Problems and Obstacles in carrying out Civil Engineering Profession under the framework of the ASEAN Free Trade Agreement (AFTA)) โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อสร้างความร่วมมือกันในการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน ก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือระหว่างประเทศ อันเกิดจากการจัดทำข้อตกลงยอมรับร่วมกัน (Mutual Recognition Arrangements: MRAs) ให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือใน 7 สาขาวิชาชีพ ซึ่ง หนึ่งในวิชาชีพนั้นคือ “วิชาชีพวิศวกรรม” โดยมีข้อตกลงว่าแต่ละประเทศจะต้องยอมรับซึ่งกันและ กันในคุณสมบัติ มาตรฐาน ทักษะ ความสามารถในการประกอบวิชาชีพหรือในการทำงานของ แรงงานระหว่างประเทศสมาชิกเช่นเดียวกันผู้ประกอบวิชาชีพในประเทศของตนและยอมรับ คุณสมบัติด้านการศึกษาที่ใช้ในการประกอบวิชาชีพ (Professional education) ซึ่งพิจารณาได้จาก วุฒิบัตรทางการศึกษาหรือคุณสมบัติด้านประสบการณ์จากการประกอบวิชาชีพ (Professional experience) และคุณสมบัติด้านการได้รับใบอนุญาต (License) หรือการได้รับใบรับรองการศึกษา (Certification) การประกอบวิชาชีพนั้น ๆ อย่างเป็นทางการ รวมทั้งการสอบและการเป็นสมาชิก ขององค์กรวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการผ่อนปรนในส่วนของการเข้าเมืองและการทำงานด้วย แต่ ถ้าจะมาประกอบวิชาชีพวิศวกรรรมในประเทศไทยต้องอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ.2542 พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 และพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 จากปัญหาข้างต้นผู้ศึกษาวิเคราะห์ว่า พระราชบัญญัติสภาวิศวกร พ.ศ.2542 และ พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 และพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ที่เป็นกฎหมายแม่บทในการบังคับใช้กับวิชาชีพวิศวกรรมในประเทศไทยก่อให้เกิดปัญหาและอุปสรรคที่วิศวกร ชาวต่างชาติของประเทศคู่ภาคีไม่อาจจะมาประกอบวิชาชีพวิศวกรภายในประเทศไทยได้เพราะขาด คุณสมบัติในการมีสัญชาติไทยและสถานภาพตามกฎหมายคนเข้าเมือง ความรับผิดของวิศวกร รวมทั้งการควบคุมคุณภาพของวิชาชีพวิศวกร จากปัญหาข้างต้นผู้ศึกษาขอเสนอแนะว่าเพื่อให้กฎหมายภายในของประเทศไทย สอดคล้องกับข้อตกลงยอมรับร่วมกัน (MRAs) เกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรี จึงควรที่จะแก้ไข บทบัญญัติของพระราชบัญญัติสภาวิศวกร พ.ศ.2542 และข้อกำหนดการขออนุญาตตรวจลงตราให้ ได้รับสิทธิอยู่ในประเทศไทยได้ตามกรอบของงานที่ทำโดยกำหนดให้วิศวกรโยธาชาวต่างชาติ สามารถที่จะยื่นขอรับใบอนุญาตการประกอบวิชาชีพวิศวกรโยธาได้และให้ได้รับการพิจารณา จัดลำดับชั้นของวิศวกรโยธาชาวต่างชาติตามมาตรฐานเดียวกับลำดับชั้นของวิศวกรโยธาชาวไทย แต่ทั้งนี้เพื่อมิให้วิศวกรโยธาชาวต่างชาติเข้ามาแย่งงานวิศวกรโยธาชาวไทยเกินสมควร สภาวิศวกร อาจกำหนดเงื่อนไขสำหรับใบอนุญาตของวิศวกรโยธาชาวต่างชาติให้สามารถทำงานได้ในลักษณะ ที่เป็นงานก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ ที่มีการลงทุนจากเงินตราของนักลงทุนต่างประเทศเท่านั้นก็ได้ และควรกำหนดความรับผิดของวิศวกรผู้ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเสียหายอย่างชัดเจน ไม่ควรปล่อยให้ นำหลักทั่วไปในทางแพ่งและทางอาญามาปรับใช้กับความรับผิดของวิศวกรและควรบัญญัติถึง ความรับผิดของผู้ซึ่งเกี่ยวข้องกับวิศวกรที่ประกอบวิชาชีพด้วย โดยนำหลักความรับผิดโดยเคร่งครัด มาใช้บังคับกับผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรและผู้เกี่ยวข้อง และเพื่อเป็นการเยี่ยวยาหรือสร้าง หลักประกันให้กับผู้ซึ่งอาจต้องเสียหายจากการประกอบวิชาชีพของวิศวกร ควรนำหลักการ ประกันภัยเข้ามาบังคับใช้กับวิศวกรและผู้เกี่ยวข้อง โดยการประกันภัยดังกล่าวควรมีเงื่อนไขที่คล อบคลุมความเสียหายในทุก ๆ ด้าน และคลอบคลุมความเสียหายเต็มจำนวนหรืออย่างน้อยก็ให้ ได้รับการชดเชยค่าเสียหายให้พอสมควร และควรนำหลักค่าเสียหายเชิงลงโทษมาบังคับใช้กับกรณี ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการประกอบวิชาชีพวิศวกรโยธา โดยให้ศาลได้มีโอกาสกำหนด ค่าเสียหายเชิงลงโทษได้ตามควรแก่พฤติการณ์แห่งความร้ายแรงในการประกอบวิชาชีพวิศวกร โยธารายการ ปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายในการใช้กระบวนการอนุญาโตตุลาการในสัญญาสัมปทาน(2556-10-16T02:35:48Z) นวลนภา อภิบาลศรีวิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาถึงมาตรการทางกฎหมายในการใช้ กระบวนการอนุญาโตตุลาการในสัญญาสัมปทานตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 เกี่ยวกับปัญหาการนำกระบวนอนุญาโตตุลาการมาใช้ระงับข้อพิพาทในสัญญาสัมปทาน ด้วยเหตุที่ ประเทศไทยมีเพียงมติคณะรัฐมนตรีลงวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ.2547และมติคณะรัฐมนตรีลงวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ.2547 ถึงแนวทางปฏิบัติในการเข้าทำสัญญาสัมปทานที่กำหนดให้นำคดีพิพาทที่เกิด จากสัญญาสัมปทานส่งไปฟ้องศาลปกครองหรือศาลยุติธรรมเท่านั้นและไม่เขียนในข้อสัญญาให้ มอบข้อพิพาทให้คณะอนุญาโตตุลาการชี้ขาด หากมีปัญหาหรือมีความจำเป็นหรือเป็นข้อเรียกร้อง ของคู่สัญญาอีกฝ่ายที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติเป็นราย ๆ ไป ซึ่งมติ คณะรัฐมนตรีดังกล่าวมิได้ยึดหลักปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามหลักการที่ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคี อนุสัญญาที่เกี่ยวกับการยอมรับนับถือและการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการระหว่าง ประเทศ (Geneva Convention และ New York Convention) จึงทำเกิดปัญหาในแนวทางปฏิบัติและ ข้อกฎหมายอยู่หลายประการด้วยกัน จากการศึกษาวิเคราะห์ว่าการระงับข้อพิพาทในสัญญาสัมปทานมีความขัดกันระหว่างมติ คณะรัฐมนตรีลงวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2547 ที่ให้นำคดีที่เกิดจากสัญญาสัมปทานส่งฟ้องต่อศาล ปกครองหรือศาลยุติธรรมเท่านั้นกับการที่ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาที่เกี่ยวกับการ ยอมรับนับถือและการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศประกอบกับการที่ นำพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาบังคับใช้กับการระงับข้อพิพาทที่เกิดจากสัญญา สัมปทานโดยอนุญาโตตุลาการเป็นการดำเนินแนวทางตามหลักกฎหมายแพ่งซึ่งขัดกับหลัก กฎหมายมหาชนดังนั้นในวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ผู้ศึกษาจึงขอเสนอแนะว่าควรแสวงหาวิธีที่เหมาะสมในการ ระงับข้อพิพาทในสัญญาสัมปทานโดยเสนอให้มีการกำหนดประเภทของสัญญาสัมปทานตาม ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 เพื่อแบ่งแยกประเภทของสัญญาสัมปทานว่าสัญญาสัมปทาน ประเภทใดควรระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการหรือศาลปกครอง นอกจากนี้ผู้ศึกษาขอเสนอให้ มีการบัญญัติกฎหมายสัญญาสัมปทานไว้โดยเฉพาะรวมทั้งเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 เพื่อให้กฎหมายเกี่ยวกับอนุญาโตตุลาการในสัญญา สัมปทานของประเทศไทยมีความเป็นเอกเทศและเป็นที่ยอมรับในแวดวงของนักกฎหมายและนัก ลงทุนภาคเอกชน