วิทยานิพนธ์ปริญญาโท
URI ถาวรสำหรับคอลเล็กชันนี้
เรียกดู
กำลังเรียกดู วิทยานิพนธ์ปริญญาโท โดย วันที่ออก{{beginningWith}}
ตอนนี้กำลังแสดง1 - 20 ของ 27
ผลลัพธ์ต่อหน้า
ตัวเลือกเรียงลำดับ
รายการ ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการสอบสวนในคดีจราจร(2556-10-16T01:54:47Z) จุมพล จั่นสังข์วิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษาปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการสอบสวนในคดีจราจรตาม พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 เป็นกฎหมายที่มุ่งเน้นบัญญัติให้ผู้กระทำความผิดจะต้องรับ โทษในทางเทคนิคตามหลักกฎหมายของอังกฤษเท่านั้น จนมีแนวคิดที่ขัดต่อหลักศีลธรรมอันดีของ ประชาชนและนำเอาหลักการกระทำความผิดมาผสมผสานกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา โดยไม่มีการแบ่งแยกให้ชัดเจนก่อให้เกิดปัญหาการฟ้องคดีข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ.2522 ผสมกับข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญาซึ่งมีแนวคิดและทฤษฎีที่แตกต่าง กัน กล่าวคือ ประมวลกฎหมายอาญามุ่งเน้นการปราบปรามผู้กระทำความผิดแต่พระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ.2522 เป็นกฎหมายที่มุ่งเน้นการสร้างกฎและกติกาในการใช้รถใช้ถนนเพื่อลด อุบัติเหตุบนท้องถนนเท่านั้นจึงควรมีการแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิงเช่นเดียวกับกฎหมายของ สหพันธรัฐเยอรมันและสาธารณรัฐฝรั่งเศสเพื่อเป็นการลดคดีขึ้นสู่ศาลและให้อำนาจเจ้าหน้าที่ใน การเปรียบเทียบปรับเพื่อให้คดีสิ้นสุดโดยเร็ว จากการศึกษาผู้ศึกษาพบว่าความบกพร่องในการบังคับใช้กฎหมายของตำรวจจราจรนั้น มาจากสาเหตุหลายประการด้วยกันไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ขาดความรู้ความเข้าใจในกฎหมายไม่ สามารถตีความกฎหมายได้ชัดเจน ละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือมีการใช้อิทธิพลแสวงหา ผลประโยชน์ อันทำให้เกิดข้อบกพร่องต่าง ๆ ตามมา รวมทั้งการฝ่าฝืนกฎจราจรของผู้ใช้รถใช้ถนน หรือการเกิดปัญหาการจราจรติดขัดจากสาเหตุต่าง ๆ ดังนั้นผู้ศึกษาขอเสนอแนะว่า การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจจราจรถือเป็นส่วนสำคัญของ การแก้ปัญหา หากการบังคับใช้กฎหมายของตำรวจจราจรอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ขับขี่รถก็ย่อมเกิด ความเกรงกลัวต่อกฎหมาย ไม่กล้าละเลยกระทำความผิด ทำให้เกิดระเบียบวินัยในการใช้รถใช้ถนนและส่งผลต่อสภาพการจราจรที่ดีขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากเจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ อย่างเคร่งครัด อาจส่งผลให้เกิดปัญหาด้านการจราจรตามมา เมื่อพฤติกรรมของตำรวจจราจรมีผล ต่อสภาพจราจรรายการ ปัญหากฎหมายในการดำเนินงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน: ศึกษากรณีการเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมที่น่าสงสัย(2556-10-16T02:00:54Z) บุศรา เมตตาการศึกษาเรื่องปัญหากฎหมายในการดำเนินงานของสำนักงานป้องกันและปราบปราม การฟอกเงิน: ศึกษากรณีการเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมที่น่าสงสัย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) แนวความคิดเกี่ยวกับการฟอกเงินของไทยและต่างประเทศ การใช้ดุลพินิจการเข้าถึงข้อมูลและ หลักการกำหนดให้การฟอกเงินเป็นความผิดทางอาญา (2) มาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการ เข้าถึงข้อมูลของเจ้าหน้าที่ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินทั้งของประเทศไทย และต่างประเทศ (3) วิเคราะห์มาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงข้อมูลของเจ้าหน้าที่ ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินทั้งของประเทศไทยและต่างประเทศ และ (4) กำหนดมาตรการและข้อเสนอแนะในการเข้าถึงข้อมูลของผู้กระทำผิดฐานฟอกเงินและคุ้มครอง สิทธิเสรีภาพของประชาชน ผลการศึกษาพบว่าตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 (1) มาตรา 38 (3) ให้อำนาจมากเกินไปแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในการเรียกให้สถาบันการเงิน หรือส่วนราชการส่งข้อมูลหรือหลักฐานมายังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (2) การบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ง. ในการให้ผู้ประกอบการส่งมอบข้อมูลใน ธุรกรรมที่น่าสงสัยประการ เช่น มาตรการในการเข้าถึงบัญชี ข้อมูลทางการสื่อสารและข้อมูลทาง คอมพิวเตอร์ตามมาตรา 46 หลายครั้งเกิดจากเงื่อนไขการใช้อำนาจที่ไม่เหมาะสม ขาดความชัดเจน (3) การใช้ดุลพินิจพิจารณาธุรกรรมของพนักงานเจ้าหน้าที่ ในการปฎิบัติตามกฎหมายหลาย ครั้งขาดพยานหลักฐาน และไม่มีเหตุผลเพียงพอทำให้เกิดความเสียหาย(4) การเก็บรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด ตามพระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ไม่มีบทกำหนดโทษ และไม่มีอำนาจเข้าสู่ระบบคอม- พิวเตอร์ผ่านระบบอินเตอร์เนตของสถาบันการเงินได้โดยตรง ทั้งนี้ ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะสำหรับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ดังนี้ (1) ควรจะพิจารณาให้ความเห็นต่อรัฐมนตรีในการออกระเบียบกำหนด องค์ประกอบหลัก- ฐานและเหตุผลในการปฎิบัติหน้าที่ ตาม มาตรา 38 ของ กรรมการธุรกรรม เลขาธิการ และพนักงาน เจ้าหน้าที่ (2) ควรหามาตรการการใช้อำนาจเกินกว่าเหตุของพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งอาจเป็นความผิด ตามกฎหมาย และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จะต้องรับผิดต่อความเสียหายที่อาจ จะเกิดขึ้น (3) ควรจะพิจารณาให้ความเห็นต่อรัฐมนตรีในการออกระเบียบกำหนด องค์ประกอบของ การใช้ดุลพินิจ อันประกอบด้วย การใช้ดุลพินิจที่ไม่ขัดกับหลักกฎหมาย ไม่เกินขอบเขตที่กฎหมาย กำหนด ไม่บิดเบือนวัตถุประสงค์ของกฎหมายการฟอกเงิน มีขั้นตอนการพิจารณา มีพยานหลักฐาน หรือมีพยานบุคคล มีเหตุผลเพียงพอ และหรือข้อกำหนดอื่นๆ (4) ควรให้มีกฎหมายกำหนดบทลงโทษ ผู้เจตนาปกปิดรายการธุรกรรม การทำข้อมูลให้ สับสนเกินกว่าที่ควรจะเป็น การส่งรายการล่าช้า การบันทึกรายการธุรกรรมล่าช้า ให้กำหนดโทษ สมควรกับขนาดของธุรกรรมรายการ ปัญหาทางกฎหมายผังเมืองในการจัดการสิ่งแวดล้อมในชุมชน(2556-10-16T02:08:11Z) ธนกร ดรรชนีมาศการศึกษาวิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษาหลักแนวคิด ทฤษฎีและหลักกฎหมาย รวมทั้งปัญหาการ จัดการสิ่งแวดล้อมภายใต้กฎหมายผังเมือง จากปัญหาดังกล่าวพบว่า การที่กฎหมายผังเมือง กำหนดให้มีการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพียงครั้งเดียว เพื่อให้การวางและ จัดทำผังเมืองรวมเป็นไปได้อย่างกว้างขวาง รวดเร็ว และสอดคล้องกับสภาพการณ์และสิ่งแวดล้อม ที่เปลี่ยนแปลงไป จึงเป็นการไม่เหมาะสม จากปัญหาดังกล่าวผู้ศึกษาเห็นว่าการประชุมเพียงครั้ง เดียวหรือมากกว่านั้นก็มิใช่ปัญหา แต่ปัญหาที่สำคัญคือการดำเนินการแต่ละครั้งต้องให้ประชาชนมี ส่วนร่วมในการจัดการ ส่วนปัญหาการใช้อำนาจในการวางและจัดทำผังเมืองรวมตามกฎหมายผัง เมือง คณะกรรมการผังเมืองไม่ได้เป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในลำดับฝ่ายบริหาร ส่งผลต่อการเข้ามา แทรกแซงของฝ่ายบริหารในระดับสูงกว่าและก่อให้เกิดความไม่เป็นอิสระและความเป็นกลางใน การปฏิบัติงาน นอกจากนั้นปัญหาการเยียวยาก็ยังไม่ปรากฏความชัดเจนในกฎหมายไม่ว่าจะเป็น พระราชบัญญัติผังเมืองเอง หรือพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 ยังขาดข้อบัญญัติที่ชัดเจนในเรื่องการชดเชยเยียวยา ผู้มีส่วนได้เสียต่อการดำเนินการผังเมือง ทั้งนี้ เนื่องจากกฎหมายผังเมืองของไทยไม่ได้บัญญัติเกี่ยวกับการเยียวยาของผู้มีส่วนได้เสียจากการวางผัง เมือง ดังนั้น ผู้ศึกษาเห็นว่าควรมีการแก้ไขพระราชบัญญัติผังเมืองโดยเพิ่มมาตรการในการเยียวยา หรือบทบัญญัติในการเยียวยาสำหรับผู้มีส่วนได้เสีย และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเวนคืนโดย สามารถใช้เกณฑ์ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายของฝรั่งเศสเป็นแนวทางการในการกำหนดและสิทธิ ได้รับการชดใช้เยียวยาของผู้ที่ได้รับความเสียหายจากภาระจำยอมเพื่อประโยชน์สาธารณะรายการ ปัญหากฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน: ศึกษากรณีอำนาจและหน้าที่ของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร(2556-10-16T02:12:38Z) ภาสกร ชัยรุ่งโรจน์สกุลวิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอำนาจหน้าที่ของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ.2543 รวมทั้งระเบียบและกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อทำ ให้ทราบถึงปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานของนิติบุคคลตามกฎหมาย เนื่องจากนิติบุคคล หมู่บ้านจัดสรรที่เกิดขึ้น ไม่สามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย การจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร เพราะติดในเรื่องของกฎหมายที่ไม่ได้บัญญัติรองรับให้ ดำเนินการได้ตามความต้องการที่แท้จริง ทำให้นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรที่ตั้งขึ้นมีจำนวนน้อยมาก เมื่อเทียบกับจำนวนโครงการหมู่บ้านจัดสรรที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ เพราะการบัญญัติอำนาจหน้าที่ ตามกฎหมายของนิติบุคคลหมู่บ้านไม่ได้รับความสนใจให้ผู้ซื้อที่ดินต้องการจัดตั้ง ประกอบกับผู้ ซื้อบ้านจัดสรรไม่ยอมรับหรือไม่เต็มใจในเรื่องของการที่จะต้องรับภาระการจ่ายค่าบำรุงหมู่บ้าน ให้กับนิติบุคคลหมู่บ้าน เพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาสาธารณูปโภคภายในหมู่บ้าน เนื่องจาก อาจจะมีความสงสัยในการดำเนินการของคณะกรรมการนิติบุคคลหมู่บ้านที่ตนได้เลือกไป ดำเนินการบริหารหมู่บ้าน หรือไม่มั่นใจในกฎหมายที่ควบคุมอยู่ เพราะพระราชบัญญัติจัดสรรที่ดิน พ.ศ.2543 ไม่ได้บัญญัติอำนาจหน้าที่และการควบคุมกำกับดูแลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการ นิติบุคคลหมู่บ้านให้ชัดเจนและเข้าใจได้ดี พอที่จะไว้วางใจในการมอบอำนาจทั้งหลายทั้งปวงให้ กำกับดูแลแทน หากมีกฎหมายเพิ่มเติมหรือบัญญัติให้ชัดเจน เพียงพอ การที่ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรจะ ตัดสินใจรวมตัวกัน เพื่อจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรและเลือกตัวแทนไปบริหารชุมชนภายใน หมู่บ้าน เพื่อประโยชน์ของตนเองและทำให้หมู่บ้านมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาจนทำให้หมู่บ้านมี มูลค่าทางทรัพย์สินต่อไปนั้นมีส่วนมาก เพราะแต่ละชุมชนจะทราบถึงความต้องการหรือปัญหาภายในชุมชนได้ดีกว่าผู้อื่น และเป็นการส่งเสริมการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ แห่งประเทศไทย เป็นการเรียนรู้ถึงหลักการบริหารจากกลุ่มเล็กๆ ไปจนถึงระดับประเทศ และลด ภาระหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐที่จะต้องมาดำเนินการแก้ไขปัญหาให้กับแต่ละหมู่บ้าน จึงเป็น เจตนารมณ์ของรัฐที่จะให้มีแนวทางในการบริหารชุมชนกันเอง ดังนั้น วิทยานิพนธ์ฉบับนี้จึงมีข้อเสนอแนะว่า ควรจะมีการปรับปรุงเพิ่มเติมกฎหมายและ ระเบียบ ให้นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรมีอำนาจและหน้าที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับกิจการหมู่บ้านได้ มากกว่าเดิม โดยปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบให้นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรมีอำนาจและหน้าที่ได้ มากกว่าเดิม และกำหนดอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจนเพื่อประโยชน์ในการบริหารหมู่บ้านได้อย่างมี ประสิทธิภาพ และมีสภาพคล่องทำให้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรหรือผู้อาศัยเห็นถึงความสำคัญในการจัดตั้ง นิติบุคคลหมู่บ้านขึ้นมาบริหารงานแทนตนเองแบบบูรณาการ ควรปรับปรุงกฎหมายให้นิติบุคคล หมู่บ้านสามารถดำเนินการจัดหาผลประโยชน์ได้จากการให้บริการสาธารณะ หรือบริหาร สาธารณูปโภค เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับงบประมาณของหมู่บ้านให้มีงบประมาณในการปรับปรุง ซ่อมแซมสาธารณูปโภคภายในหมู่บ้านได้ โดยไม่ต้องพึ่งหน่วยงานภาครัฐ และสมาชิกของหมู่บ้าน และกำหนดในกฎหมายให้มีการตรวจสอบการดำเนินงานของคณะกรรมการนิติบุคคลหมู่บ้าน ใน การดำเนินการแสวงหาผลประโยชน์ให้ชัดเจน รัดกุม เพื่อความสุจริตตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย และกำหนดให้มีสภาพบังคับหรือบทลงโทษแก่คณะกรรมการหมู่บ้านที่กระทำการทุจริต หรือ กระทำความเสียหายแก่สมาชิกหรือนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร อีกทั้งควรกำหนดตำแหน่ง คณะกรรมการหมู่บ้านให้มี คณะกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารเข้ามาเป็น กรรมการที่ปรึกษา ได้แก่ หน่วยงานฝ่ายปกครองหรือท้องถิ่น กรมที่ดิน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อให้ คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาและตรวจสอบการทำงานของคณะกรรมการนิติบุคคลหมู่บ้านไว้อย่างมี ประสิทธิภาพต่อไปรายการ ปัญหาทางกฎหมายในการกระจายอำนาจการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(2556-10-16T02:18:59Z) ประจิม มงคลสุขการศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมายในการ กระจายอำนาจการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เนื่องจากพระราช- บัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ได้บัญญัติให้มีการกระจายอำนาจการบริหารจัดการศึกษาไปสู่ สถานศึกษาโดยตรง แต่ในทางปฏิบัติสถานศึกษายังขาดความมีอิสระและความคล่องตัวใน การดำเนินการด้านการบริหารงานบุคคล ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานบุคคลของ ข้าราชการครูและบุคลากรทางศึกษา จึงได้ทำการศึกษาเพื่อให้ทราบว่ามีการกระจายอำนาจดังกล่าว ไปสู่สถานศึกษาอย่างแท้จริงตามที่พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ได้กำหนดไว้ หรือไม่ ผลการศึกษาพบว่าการกระจายอำนาจการบริหารงานบุคคลด้านการสรรหาตำแหน่ง ข้าราชการครูและผู้บริหารสถานศึกษายังไม่มีการกระจายอำนาจให้กับสถานศึกษา โดยที่อำนาจ ดังกล่าวยังอยู่ที่องค์คณะและผู้บังคับบัญชาระดับเขตพื้นที่การศึกษาขึ้นไป อีกทั้งการกระจายอำนาจ การบริหารงานบุคคลด้านการบรรจุและแต่งตั้งยังไม่มีการกระจายอำนาจทั้งหมด สถานศึกษามี อำนาจบางส่วน แต่อำนาจส่วนใหญ่ยังอยู่กับองค์คณะและผู้บังคับบัญชาระดับเขตพื้นที่การศึกษา ขึ้นไป นอกจากนี้การกระจายอำนาจการบริหารงานบุคคลด้านการพิจารณาความดีความชอบ ยังไม่มี การกระจายอำนาจทั้งหมด สถานศึกษามีอำนาจเพียงเสนอความเห็น แต่อำนาจในการเห็นชอบ ในการพิจารณาความดีความชอบยังเป็นอำนาจขององค์คณะและผู้บังคับบัญชาระดับเขตพื้นที่ การศึกษาขึ้นไป และการกระจายอำนาจการบริหารงานบุคคลด้านการดำเนินการทางวินัย ยังไม่มี การกระจายอำนาจทั้งหมด สถานศึกษามีอำนาจดำเนินการทางวินัยไม่ร้ายแรง ส่วนการดำเนินการ ทางวินัยอย่างร้ายแรงมีอำนาจดำเนินการบางตำแหน่ง แต่ส่วนใหญ่อำนาจการดำเนินการและอำนาจ การพิจารณาลงโทษยังเป็นอำนาจขององค์คณะและผู้บังคับบัญชาระดับเหนือเขตพื้นที่การศึกษาขึ้น ไป โดยผู้ศึกษามีข้อเสนอแนะว่าควรแก้ไขเพิ่มพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษา พ.ศ.2547 มาตรา 26 และมาตรา 47 ให้อำนาจคณะกรรมการสถานศึกษาเป็นผู้มี อำนาจดำเนินการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและสอบ คัดเลือกผู้บริหารสถานศึกษา และควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและ บุคลากรทางศึกษา พ.ศ.2547 มาตรา 53 ให้สถานศึกษามีอำนาจในการบรรจุและแต่งตั้งทุกตำแหน่ง ในสถานศึกษา โดยอนุมัติคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และควรแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางศึกษา พ.ศ.2547 โดยให้คณะกรรมการ สถานศึกษามีอำนาจในการเห็นชอบการพิจารณาความดีความชอบทุกตำแหน่งในสถานศึกษา นอกจากนั้นควรให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางศึกษา พ.ศ.2547 ให้สถานศึกษามีอำนาจดำเนินการทางวินัยอย่างร้ายแรงทุกตำแหน่ง โดยความเห็นชอบ จากคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานรายการ ปัญหาการกำหนดโทษทางอาญา: ศึกษากรณีการยกเลิกพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534(2556-10-16T02:23:32Z) อริสรา กันดิษฐ์วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาปัญหาการกำหนดโทษทางอาญา โดยศึกษา กรณีการยกเลิกพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 เนื่องจากสำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 โดยเตรียมการยกเลิกกฎหมายว่าด้วยความผิด อันเกิดจากการใช้เช็ค โดยมีแนวคิดว่า ปัจจุบันธุรกิจการเงินการธนาคารมีความเจริญก้าวหน้าทาง เทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้ธนาคารสามารถตรวจสอบข้อมูลของผู้ใช้เช็คได้อย่างรวดเร็วและ สมบูรณ์ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในเช็คอีกต่อไป จากการศึกษาศึกษาโดยค้นคว้าจากเอกสารทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ ตำรา กฎหมาย ตัวบทกฎหมาย บทความทางวิชาการ พบว่า ไม่สมควรยกเลิกพระราชบัญญัติว่าด้วย ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 แต่ควรแก้ไขเพิ่มเติมโดยการกำหนดโทษทางอาญาใหม่ เพราะพระราชบัญญัติดังกล่าวยังคงความน่าเชื่อถือในการใช้เช็คต่อวงการธุรกิจการค้าอยู่ หากมีการ ยกเลิกความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คในทางอาญา โดยมีเพียงความรับผิดทางแพ่งแต่เพียงลำพังก็ อาจทำให้ผู้เสียหายได้รับการชำระหนี้ที่ล่าช้าออกไป และที่สำคัญประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายอื่น หรือมาตรการอื่นเข้ามารองรับการใช้เช็คได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงอาจทำให้เช็คขาดความ น่าเชื่อถือและเป็นเหตุให้ผู้สั่งจ่ายหรือผู้ออกเช็คไม่มีความเกรงกลัวต่อการกระทำผิด ซึ่งจะทำให้ไม่ บรรลุวัตถุประสงค์ของการใช้เช็คที่ต้องการให้สาธารณชนเกิดความมั่นใจในการรับเช็ค สำหรับการทำธุรกรรมทางการค้าอันเป็นการส่งเสริมให้มีการใช้เช็คเป็นตราสารในการชำระหนี้แทนเงิน สด ผู้วิจัยจึงเห็นว่า เพื่อเป็นการบังคับใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 ให้เหมาะสม และเป็นการลดปัญหาในการกำหนดโทษทางอาญาเกี่ยวกับเช็ค จึงควรมีการ พิจารณาแก้ไขพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 โดยการยกเลิกโทษ จำคุกในมาตรา 4 กรณีที่กฎหมายมิได้บัญญัติถึงเจตนาทุจริตของผู้กระทำความผิด เนื่องจากมาตรา 4 (2) ถึง (4) อาจเป็นเหตุให้ผู้ออกเช็คที่มิได้มีเจตนาทุจริตที่จะไม่ใช้เงินตามเช็ค แต่อาจเกิดจาก สภาวะทางเศรษฐกิจขาดสภาพคล่องหรือความจำเป็นในทางธุรกิจบางประการของผู้ออกเช็ค เช่น ประสบปัญหากิจการขาดทุน ทำให้ไม่สามารถใช้เงินตามเช็คได้ ต้องรับโทษทางอาญา แต่ควรคง โทษจำคุกกรณีที่มีเจตนาในการกระทำความผิด และกำหนดโทษปรับให้มีจำนวนที่สูงขึ้น โดยต้อง ระวางโทษปรับตามจำนวนเงินที่สั่งจ่ายตามเช็ค อีกทั้งควรมีมาตรการเสริมโดยกำหนดให้มีเบี้ยปรับ ในทางแพ่งในการทำสัญญาเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน เมื่อเช็คถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน เพื่อให้ บรรลุวัตถุประสงค์ในการสร้างความน่าเชื่อถือในการใช้เช็ค และให้การกระทำความผิดเกี่ยวกับเช็ค มีจำนวนลดน้อยลงรายการ ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับสิทธิของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา: ศึกษากรณีการขอรับค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา(2556-10-16T02:28:10Z) วีนัส หมุดธรรมการศึกษาของผู้ศึกษาได้พบว่า สิทธิของจำเลยในคดีอาญาตามกระบวนการยุติธรรมของ ประเทศไทย ซึ่งมีกฎหมายรัฐธรรมนูญได้กล่าวถึงหลักสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทยไว้อย่าง ชัดเจน รวมถึงสิทธิของจำเลยในคดีอาญาที่ปรากฏหลักฐานต่อมาทีหลังว่ามิได้เป็นผู้กระทำ ความผิดจำเลยดังกล่าวนี้จึงสมควรได้รับความเป็นธรรมจากกฎหมายด้วยเช่นกัน จึงทำให้มี หน่วยงานของรัฐเข้ามามีอำนาจในการตรวจสอบและพิจารณาให้การช่วยเหลือเยียวยาแก่จำเลยใน คดีอาญาดังกล่าว รวมถึงจำเลยที่ถูกยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 และมาตรา 227 ที่ถูกยกฟ้องเช่นเดียวกันแต่ได้รับความเยียวยาช่วยเหลือจากรัฐไม่เสมอภาคกัน กล่าวคือถ้าเป็นจำเลยที่ถูกยกฟ้องตามมาตรา 185 จะได้รับความช่วยเหลือเยียวยาตามขั้นตอนของรัฐ หากเป็นการยกฟ้องตามมาตรา 227 ก็จะไม่ได้รับความช่วยเหลือเยียวยาจากรัฐ จากการศึกษาใน ครั้งนี้จึงมองเห็นสภาพปัญหาของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทยที่ยังให้สิทธิของ ประชาชนไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดยังคงกล่าวถึงสิทธิที่ประชาชนได้รับไม่ทั่วถึงจึงทำให้ขัดกับ กฎหมายรัฐธรรมนูญที่ได้กล่าวถึงเรื่องสิทธิไว้ จากบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นจะเห็นว่าจำเลยในคดีอาญาที่ปรากฏหลักฐานว่ามิได้มีส่วน เกี่ยวข้องในการกระทำความผิดนั้นเป็นผู้มีสิทธิได้รับความคุ้มครองจากรัฐ และยังเป็นผู้ที่สามารถ ยื่นขอรับค่าตอบแทน ค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายที่จำเป็นจากรัฐ โดยเป็นไปตามเงื่อนไขของกฎหมาย ที่บัญญัติในสิทธิของประชาชน การที่รัฐให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนในส่วนของจำเลยในการ ขอรับค่าตอบแทนจากรัฐเพื่อเป็นการเยียวยาความเสียหายของจำเลยที่มิได้เป็นผู้กระทำผิดในคดีนั้น ที่ได้รับความเดือดร้อนในระหว่างคดียังไม่สิ้นสุดไม่ว่าจะเป็นค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ ค่ารักษาพยาบาลหากได้รับความเจ็บป่วย รวมไปถึงอันตรายได้นับแต่วันที่มีคำพิพากษาว่ามิได้เป็น ผู้กระทำความผิดจริง จำเลยที่ศาลพิจารณาแล้วว่าไม่ได้มีความผิดจริงสามารถมีสิทธิในการขอความ ช่วยเหลือที่จำเป็นและเหมาะสมจากรัฐส่วนค่าตอบแทน ค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ให้ เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 40 (5) ใน การขอรับค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญาต้องเป็นตามหลักเกณฑ์ของพระราชบัญญัติค่าตอบแทน ผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544 สิทธิของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาประเทศไทยนั้นยังคงมีปัญหาบาง ประการที่ต้องเร่งพัฒนาในเรื่องสิทธิโดยเฉพาะสิทธิของจำเลยในคดีอาญาในการยกฟ้องตาม กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 และมาตรา 227 ที่กล่าวถึงการยกฟ้องจึงควรให้สิทธิแก่ จำเลยในคดีอาญาไม่ว่าจะเป็นการยกฟ้องตามมาตราไหนก็ควรได้รับสิทธิในการช่วยเหลือเยียวยา จากรัฐโดยเท่าเทียมกันและพัฒนากฎหมายให้เทียบทันกฎหมายต่างประเทศเพื่อนำไปสู่การแก้ไข ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรมของไทยรายการ ปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายเกี่ยวกับการจัดสรรที่ดินของรัฐในรูปแบบโฉนดชุมชน(2556-10-16T02:31:48Z) เกศรา ระจะนิตย์วิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษาการจัดสรรที่ดินของรัฐในรูปแบบโฉนดชุมชนนั้นมีประเด็น ปัญหาความเสมอภาคของประชาชนเกี่ยวกับการให้สิทธิในโฉนดชุมชนและการกำหนดขอบเขต และลักษณะเกี่ยวกับความหมายของชุมชนและโฉนดชุมชนที่กำหนดไว้ในระเบียบสำนัก นายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดการโฉนดชุมชน พ.ศ.2553 นั้น และก่อให้เกิดปัญหาการจำแนก ประเภทผู้ถือสิทธิครอบครองในโฉนดชุมชนและการพิสูจน์สิทธิเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ของโฉนด ชุมชนไม่อาจพิสูจน์สิทธิความเป็นเจ้าของได้และปัญหาการให้สำนักนายกรัฐมนตรีเป็น ผู้ดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดการโฉนดชุมชน พ.ศ.2553 นั้น จากการศึกษาพบว่า การดำเนินการของรัฐในการจัดสรรที่ดินเกี่ยวกับโฉนดชุมชนเป็น การดำเนินการที่ขัดต่อหลักความเสมอภาคเพราะการที่รัฐมอบโฉนดชุมชนให้กับชุมชนตามที่ กำหนดไว้ในเงื่อนไขของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นการจำกัดสิทธิชุมชนอื่นที่ไม่ได้ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในระเบียบ ส่วนการกำหนดขอบเขตและลักษณะเกี่ยวกับ ความหมายของชุมชนและโฉนดชุมชนที่กำหนดไว้ในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการ จัดการโฉนดชุมชน พ.ศ.2553 นั้น เป็นลักษณะนามธรรมโดยปราศจากการรองรับจากกฎหมายใน ระดับพระราชบัญญัติหรือประมวลกฎหมายหมายจนทำให้ปราศจากสถานะภาพทางกฎหมายและ ไม่อาจจะประกันความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนผู้ได้รับสิทธิตามโฉนดชุมชนได้ ส่วนปัญหาการ จำแนกประเภทผู้ถือสิทธิครอบครองในโฉนดชุมชน เมื่อชุมชนใดได้โฉนดชุมชนมาถือครองแล้ว ใครที่จะสามารถเข้าไปบริหารจัดการได้ ถึงแม้ว่าตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีจะกำหนดให้อยู่ ในรูปแบบของคณะกรรมการก็ตาม แต่มิได้หมายความว่าทุกคนจะสามารถเข้าไปทำกินในพื้นที่โฉนดชุมชนได้ซึ่งขึ้นอยู่กับการกำหนดเงื่อนไขและหลักเกณฑ์จากคณะกรรมการ ดังนั้นจึงมีปัญหา ทำให้ประชาชนมีการทับซ้อนบริเวณทำกินและก่อให้เกิดความขัดแย้งภายในชุมชนและปัญหาการ กำหนดอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานรัฐในการดำเนินการตามระเบียบของสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่ง เป็นหน่วยงานที่มิได้มีจุดเกาะเกี่ยวในการจัดสรรที่ดินแต่กลับให้สำนักนายกรัฐมนตรีเป็น หน่วยงานหลักในการดำเนินการจัดทำโฉนดชุมชนซึ่งอำนาจในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม เกี่ยวกับที่ดินปัจจุบันเป็นอำนาจของกรมที่ดินในการดำเนินการถ้าปรากฏว่ามีการโอนโฉนดชุมชน จะมีหน่วยงานใดเป็นผู้รับผิดชอบระหว่างให้สำนักนายกรัฐมนตรีหรือกรมที่ดินเป็นผู้จดทะเบียน สิทธิและนิติกรรม จากการศึกษาขอเสนอแนะว่า รัฐควรที่จะจัดสรรให้ทั่วถึงและยุติธรรม เพราะบุคคลที่อยู่ ภายในป่าก่อนมีการประกาศใช้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดการโฉนดชุมชน พ.ศ. 2553 ถือว่าเป็นผู้บุกรุกส่วนปัญหาการพิสูจน์สิทธิในการถือครองกรรมสิทธิ์ของโฉนดและปัญหา การจำแนกประเภทผู้ถือสิทธิครอบครองในโฉนดชุมชน รัฐบาลควรออกกฎหมายในระดับ พระราชบัญญัติหรือประมวลกฎหมายรับรองสิทธิในโฉนดชุมชนและสิทธิชุมชนโดยการบัญญัติ เพิ่มเติมไว้ในประมวลกฎหมายที่ดินในลักษณะของกรรมสิทธิ์ร่วมหรือโฉนดชุมชน โดยไม่มี กำหนดระยะเวลาและให้สามารถสืบทอดทางมรดกได้ โดยการกำหนดเงื่อนไขให้รัฐสามารถที่จะ เพิกถอนโฉนดชุมชนได้ทั้งแปลงหากชุมชนไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงร่วมระหว่างรัฐกับชุมชนและ รัฐบาลควรจะยกระดับที่ดินเป็นพื้นที่โฉนดชุมชนได้โดยกำหนดให้ทำข้อตกลง ระเบียบและกติกา ร่วมที่ชัดเจนจะช่วยให้ชุมชนเมืองสามารถพัฒนาชุมชนได้ดียิ่งขึ้นรวมถึงจะช่วยแก้ไขปัญหาชุมชน เมืองซึ่งเป็นปัญหาของเมืองใหญ่ทั่วประเทศรายการ ปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายในการใช้กระบวนการอนุญาโตตุลาการในสัญญาสัมปทาน(2556-10-16T02:35:48Z) นวลนภา อภิบาลศรีวิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาถึงมาตรการทางกฎหมายในการใช้ กระบวนการอนุญาโตตุลาการในสัญญาสัมปทานตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 เกี่ยวกับปัญหาการนำกระบวนอนุญาโตตุลาการมาใช้ระงับข้อพิพาทในสัญญาสัมปทาน ด้วยเหตุที่ ประเทศไทยมีเพียงมติคณะรัฐมนตรีลงวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ.2547และมติคณะรัฐมนตรีลงวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ.2547 ถึงแนวทางปฏิบัติในการเข้าทำสัญญาสัมปทานที่กำหนดให้นำคดีพิพาทที่เกิด จากสัญญาสัมปทานส่งไปฟ้องศาลปกครองหรือศาลยุติธรรมเท่านั้นและไม่เขียนในข้อสัญญาให้ มอบข้อพิพาทให้คณะอนุญาโตตุลาการชี้ขาด หากมีปัญหาหรือมีความจำเป็นหรือเป็นข้อเรียกร้อง ของคู่สัญญาอีกฝ่ายที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติเป็นราย ๆ ไป ซึ่งมติ คณะรัฐมนตรีดังกล่าวมิได้ยึดหลักปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามหลักการที่ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคี อนุสัญญาที่เกี่ยวกับการยอมรับนับถือและการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการระหว่าง ประเทศ (Geneva Convention และ New York Convention) จึงทำเกิดปัญหาในแนวทางปฏิบัติและ ข้อกฎหมายอยู่หลายประการด้วยกัน จากการศึกษาวิเคราะห์ว่าการระงับข้อพิพาทในสัญญาสัมปทานมีความขัดกันระหว่างมติ คณะรัฐมนตรีลงวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2547 ที่ให้นำคดีที่เกิดจากสัญญาสัมปทานส่งฟ้องต่อศาล ปกครองหรือศาลยุติธรรมเท่านั้นกับการที่ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาที่เกี่ยวกับการ ยอมรับนับถือและการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศประกอบกับการที่ นำพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 มาบังคับใช้กับการระงับข้อพิพาทที่เกิดจากสัญญา สัมปทานโดยอนุญาโตตุลาการเป็นการดำเนินแนวทางตามหลักกฎหมายแพ่งซึ่งขัดกับหลัก กฎหมายมหาชนดังนั้นในวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ผู้ศึกษาจึงขอเสนอแนะว่าควรแสวงหาวิธีที่เหมาะสมในการ ระงับข้อพิพาทในสัญญาสัมปทานโดยเสนอให้มีการกำหนดประเภทของสัญญาสัมปทานตาม ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 เพื่อแบ่งแยกประเภทของสัญญาสัมปทานว่าสัญญาสัมปทาน ประเภทใดควรระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการหรือศาลปกครอง นอกจากนี้ผู้ศึกษาขอเสนอให้ มีการบัญญัติกฎหมายสัญญาสัมปทานไว้โดยเฉพาะรวมทั้งเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 เพื่อให้กฎหมายเกี่ยวกับอนุญาโตตุลาการในสัญญา สัมปทานของประเทศไทยมีความเป็นเอกเทศและเป็นที่ยอมรับในแวดวงของนักกฎหมายและนัก ลงทุนภาคเอกชนรายการ ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้ต้องหาและจำเลยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550:ศึกษากรณีการสันนิษฐานว่าเป็นผู้กระทำความผิดในชั้นก่อนมีคำพิพากษา(2556-10-16T02:45:23Z) เกียรติพงษ์ กมขุนทดวิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษาบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 39 ที่กำหนดไว้ว่าบุคคลไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่ได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ใน เวลาที่กระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่า โทษที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำความผิดมิได้และในคดีอาญาต้องสันนิษฐานไว้ ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด นอกจากนั้นก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใด ได้กระทำความผิดจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้ จากบทบัญญัติข้างต้นมี วัตถุประสงค์เพื่อมิให้ใช้มาตรการทางกฎหมายกระทำต่อผู้ต้องหาเพราะในอนาคตศาลอาจจะยก ฟ้องเพราะบุคคลนั้นไม่มีความผิดก็ได้ แต่กลไกมาตรการที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญาไม่ ว่าจะเป็นมาตรการในการจับกุม ควบคุม ขัง ปล่อยชั่วคราว การสอบสวน ล้วนแล้วแต่เป็นมาตรการ ที่จำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนแทบทั้งสิ้น จากการศึกษาพบว่ามาตรการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาโดยเฉพาะ มาตรา 134 ถึงสิทธิในการแจ้งข้อกล่าวหาของพนักงานสอบสวน มาตรา 92 สิทธิในการค้น มาตรา 108 สิทธิในการปล่อยชั่วคราว เป็นต้น มิได้เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้แต่อย่างใดล้วน แล้วแต่เป็นมาตรการที่ละเมิดต่อสิทธิของผู้ต้องหาแทบทั้งสิ้น จากการศึกษาผู้ศึกษาขอเสนอแนะว่า ควรกำหนดให้ผู้ถูกออกหมายจับหรือเจ้าบ้านที่ถูก ออกหมายค้น ได้มีสิทธินำพยานหลักฐานมาแสดงต่อศาลเพื่อหักล้างการเสนอขอออกหมายจับหรือหมายค้นของเจ้าพนักงานก่อนที่ศาลจะอนุมัติหมายดังกล่าวและควรให้พนักงานสอบสวนทำการ ออกหมายเรียกก่อนทุกครั้งที่จะมีการขอให้ศาลออกหมายจับ ในทุกความผิดและทุกอัตราโทษตาม กฎหมาย ซึ่งอัตราโทษจำคุกสำหรับความผิดที่จะออกหมายจับได้จากเดิมต้องมีอัตราโทษจำคุก อย่างสูงตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปและควรจำกัดเหตุในการจับโดยไม่มีหมาย ตามมาตรา 78 ให้เหลือเฉพาะ กรณีที่มีความเร่งด่วนซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีการจับโดยไม่มีหมายอย่างแท้จริงเท่านั้นไม่ควรเปิด โอกาสให้เจ้าหน้าที่ผู้จับกุมนำตัวผู้ถูกจับกุมไปทำการสืบสวนขยายผลหรือกระทำการอื่นใด ที่ไม่ ต้องนำตัวผู้ถูกจับกุมส่งพนักงานสอบสวนโดยทันทีและควรตัดอำนาจการควบคุมของพนักงาน สอบสวน จาก “48 ชั่วโมง” เป็น “24 ชั่วโมง” นอกจากนั้นกรณีที่เกิดความจำเป็นที่จะขังผู้ถูกจับเกิน กำหนดเวลา 24 ชั่วโมง ต้องให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอหมายขัง โดยพนักงาน สอบสวนต้องรายงานพฤติการณ์พิเศษในการขังผู้ถูกจับต่อศาลด้วย ส่วนในชั้นสอบสวนควร กำหนดให้พนักงานสอบสวนจัดการส่งสำเนาคำร้องทุกข์หรือคำกล่าวโทษให้แก่พนักงานอัยการ โดยไม่ชักช้า รวมทั้งให้รายงานการดำเนินการในส่วนที่ได้ดำเนินการไปแล้วไปยังพนักงานอัยการ ด้วยและควรให้พนักงานอัยการมีอำนาจหน้าที่กำกับและควบคุมโดยทั่วไปซึ่งการสอบสวนของ พนักงานสอบสวนรายการ มาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองผู้บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์(2556-10-16T02:48:23Z) อุมาพร พงศ์โสภิตานันท์ประชากรในประเทศไทยมีการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาเป็นเวลานานนับจากอดีต สืบเนื่องมาจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มักใช้ดื่มเพื่อเฉลิมฉลองในงานพิธีมงคลหรือพิธี อวมงคลต่างๆ หรือความเชื่อที่ว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สามารถใช้แทนยาบำรุงร่างกายหรือ รักษาโรคได้ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ได้ปฏิบัติสืบเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน จึงเป็นผลให้อัตราการ บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประชากรไทยมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นทุกๆปี โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน และประชากรเพศหญิง ทำให้ปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูงเป็น อันดับที่ 5 ของโลก และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงขึ้นอีก โดยดูจากอัตราการจำหน่ายเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปีเช่นกัน ทั้งๆที่ผลกระทบที่เกิดจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มี มากมายหลายประการทั้งต่อสุขภาพของผู้ดื่มเองที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ ผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจ และสังคมที่รัฐจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ที่ป่วยและได้รับผลกระทบจากการบริโภค และต่อ วัฒนธรรมที่ดีงามของประเทศไทย จึงเห็นได้ว่าหากปล่อยให้ประชาชนหรือเยาวชนที่จะเป็น อนาคตของประเทศ มีอิสระที่จะบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยไม่มีการให้ความคุ้มครองหรือ ควบคุม ย่อมก่อให้เกิดปัญหาและความเสียหายอย่างมาก ประเทศย่อมไม่สามารถพัฒนาหรือ เจริญก้าวหน้าได้ทัดเทียมประเทศอื่น อันสืบเนื่องจากปัญหาการติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของ ประชากร ดังนั้น ในการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงจำเป็นที่จะต้องมี หลักเกณฑ์ที่ใช้ในการควบคุม ตลอดจนการหามาตรการที่เป็นธรรมในการให้ความคุ้มครองแก่ ผู้บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เหมาะสม และมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น จากการศึกษาพบว่าประเทศไทยมีกฎหมายที่เกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองแก่ผู้บริโภค เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตลอดจนการควบคุมการประกอบธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่มาก แต่ในความเป็นจริงกลับพบว่า ได้เกิดปัญหาในการใช้มาตรการดังกล่าวหลายประการด้วยกัน กล่าวคือ กฎหมายที่ใช้ในการคุ้มครองและควบคุมผู้บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังขาดความชัดเจน ผู้ใช้ และผู้ถูกบังคับใช้เกิดความสับสนจนนำไปสู่การไม่เห็นความสำคัญต่อมาตรการต่างๆ โดยยังพบ ปัญหาเกี่ยวกับการกำหนดเขตพื้นที่การจำหน่ายและสถานที่บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปัญหา เกี่ยวกับการกำหนดอายุขั้นต่ำของผู้ซื้อเครื่องดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปัญหาเกี่ยวกับวันและเวลาที่ อนุญาตให้ผู้ประกอบการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปัญหาเกี่ยวกับบทกำหนดโทษและค่าปรับ และปัญหาเกี่ยวกับการที่ยังไม่มีการกำหนดให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัดเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย ซึ่ง ปัญหาเหล่านี้แสดงให้เห็นว่ามาตรการดังกล่าวขาดประสิทธิภาพในการคุ้มครองและบังคับใช้ ไม่ สามารถควบคุมอัตราการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้อย่างแท้จริง ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอันจะมีผลให้มาตรการในการคุ้มครองผู้บริโภค เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีประสิทธิภาพและสามารถควบคุมอัตราการบริโภคได้ จึงจะต้องมีการแก้ไข บทบัญญัติของกฎหมายบางประการ เพื่อให้สอดคล้องกับการให้ความคุ้มครองและควบคุมแก่ ผู้บริโภค และผู้ประกอบธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กล่าวคือ จะต้องมีการดำเนินการแก้ไขและ เพิ่มเติมบทบัญญัติของกฎหมายให้เหมาะสม ทั้งในเรื่องของการกำหนดเขตพื้นที่จำหน่ายและ บริโภคให้สอดคล้องกัน การกำหนดอายุของผู้ซื้อไว้ที่อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ การกำหนดวัน และเวลาที่อนุญาตให้จำหน่ายได้อย่างเหมาะสม การกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงเพิ่มขึ้นของผู้ที่ฝ่า ฝืนต่อกฎหมาย และการกำหนดให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัดเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย ทั้งนี้เพื่อให้ มาตรการต่างๆเหล่านี้มีประสิทธิภาพและเหมาะสม สามารถที่จะให้ความคุ้มครองแก่ผู้บริโภค เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้อย่างแท้จริงในสถานการณ์ปัจจุบันรายการ มาตรการทางกฎหมายในการควบคุมให้ผู้ประกอบธุรกิจและผู้ประกอบวิชาชีพรับประกันความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐและประชาชน(2556-10-16T02:52:28Z) สันต์ฤทัย สวยดีวิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาถึงมาตรการทางกฎหมายในการกำหนดให้ผู้ ประกอบธุรกิจและผู้ประกอบวิชาชีพในประเทศรับประกันความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจที่ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐและประชาชนเกี่ยวกับการนำหลักประกันมาใช้เพื่อควบคุมความเสี่ยง ในการดำเนินธุรกิจและเป็นการประกันความรับผิดของผู้ประกอบการที่อาจก่อความเสียหายให้กับ ประชาชนด้วยเหตุที่ว่าการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการและผู้ประกอบวิชาชีพนั้นนอกจากผู้ ประกอบธุรกิจต้องคำนึงถึงการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจยังต้องคำนึงถึง ประเด็นต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจอีกด้วย เช่น ความรับผิดชอบต่อประชาชนใน ฐานะคู่สัญญา ความเสียหายอันเกิดต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งประเด็นต่างๆ ที่กล่าวมาล้วนแต่เป็น “ปัจจัย เสี่ยง” (Risk Factor) ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจย่อมมีโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ (Risk) และอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนและรัฐ เช่นการละทิ้งงานของผู้รับเหมา การ ผลิตหรือจำหน่ายอาหารที่ไม่ได้มาตรฐาน การผิดจรรยาบรรณในการประกอบวิชาชีพทำให้ ผู้ประกอบการธุรกิจต้องรับผิดเพื่อเป็นการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งกฎหมายแพ่งได้กำหนด ความรับผิดไว้อย่างเคร่งครัดแล้ว แต่ปัญหาเกี่ยวกับความรับผิดในความเสียหายยังคงเป็นปัญหาที่ ส่งผลกระทบในวงกว้างและเป็นผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในปัจจุบันหรือในอนาคตก็ได้ แม้ว่ารัฐจะมี มาตรการในการคุ้มครองและเยียวยาความเสียหายโดยกำหนดหลักประกันในการดำเนินธุรกิจ แต่ ในอีกหลายๆกรณีก็ไม่มีกฎหมายเยียวยาแก้ไขปัญหาดังกล่าว จากการศึกษาพบว่ามีพระราชบัญญัติเกี่ยวข้องกับธุรกิจ 3 กลุ่ม กล่าวคือกลุ่มธุรกิจด้าน การท่องเที่ยว กลุ่มธุรกิจอาหาร และกลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพ ซึ่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นกฎหมายเฉพาะที่ใช้ในการควบคุมกำกับดูแล จากผลการศึกษาพบว่าถ้าหากพิจารณาวัตถุประสงค์และอำนาจ หน้าที่ของกฎหมายที่ใช้กำกับควบคุมดูแลในแต่ละประเภทแล้วนั้นในเรื่องของการชดใช้ หรือการ เยียวยาความเสียหายให้แก่ประชาชนหรือคู่สัญญาหรือแม้แต่ผู้บุคคลภายนอกที่ไม่ได้เป็นคู่สัญญา แต่ได้รับความเสียหายก็ตาม กฎหมายดังกล่าวมิได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับมาตรการ หรือวิธีชดใช้ ค่าเสียหายที่เกิดจากผู้ประกอบการแต่อย่างใด ดังนั้น ผู้ศึกษาจึงขอเสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหาไว้ 2 ประการ กล่าวคือ 1. ผู้ศึกษาเห็นว่าสภาวะในปัจจุบันมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก การ แข่งขันในทางธุรกิจค่อนข้างสูง กฎหมายที่ใช้ควบคุมความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจโดยปรากฎใน รูปแบบของหลักประกันที่บัญญัติไว้ในกฎหมายเฉพาะในธุรกิจที่มีความเสี่ยงนั้น หลักประกัน ดังกล่าวไม่เพียงพอต่อความเสียหาย ดังนั้นรัฐต้องมีการปรับเปลี่ยนหลักประกันดังกล่าวเพื่อให้ สอดคล้องกับสภาวะการณ์ในปัจจุบันและเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายที่มุ่งคุ้มครอง ผู้ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการประกอบธุรกิจหรือบุคลลภายนอกซึ่งได้รับความเสียหายจากผู้ ประกอบกิจการดำเนินธุรกิจดังกล่าว 2. ผู้ศึกษามีความเห็นว่าการบริหารจัดการความเสี่ยงด้วยการโอนความเสี่ยง (Risk Transfer) โดยการโอนความเสี่ยงภัยด้วยการประกันภัย (Insurance) เป็นการโอนความเสี่ยงภัยจาก บุคคลหรือธุรกิจที่มีความเสี่ยงภัยให้กับบริษัทประกันภัย โดยการจ่ายค่าเบี้ยประกันให้กับผู้รับ ประกันภัยเป็นค่าตอบแทน เมื่อเกิดภัยและมีความเสียหายเกิดขึ้นบริษัทผู้รับประกันภัยจะเป็นผู้แบก รับภาระความเสียหายไว้เองแทนผู้เอาประกันภัยที่มีส่วนได้เสียในความเสี่ยงภัย โดยชดใช้ ค่าเสียหายในนามผู้เอาประกันภัยซึ่งในกรณีดังกล่าวนี้นี้ผู้ศึกษาเห็นว่าเหมาะสมกับผู้ประกอบ วิชาชีพเป็นอย่างยิ่ง และหรือการจัดการความเสี่ยงด้วยการจัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยงรายการ ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมหน่วยงานของรัฐในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการพ.ศ.2540(2556-10-16T02:57:19Z) กุลปราณี ศรีใยวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาการควบคุมหน่วยงานของรัฐในการ ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 และศึกษาเพื่อกำหนดมาตรการ การลงโทษผู้บังคับบัญชาของหน่วยงาน ทั้งมาตรการควบคุมกำกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ กรณีไม่ปฏิบัติ ตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายนี้ จากการศึกษาพบว่า หน่วยงานของรัฐไม่ควบคุม กำกับดูแลให้ เจ้าหน้าที่ซึ่งมีผลโดยตรงแก่หน่วยงานของรัฐนั้นให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการตามมาตรา 13 ซึ่งทำให้ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายฉบับนี้ ทั้งที่คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผย ข้อมูลข่าวสารได้เคยมีคำวินิจฉัยและวางหลักกฎหมายให้วางหลักกฎหมายให้หน่วยงานของรัฐ เปิดเผยข้อมูลข่าวสารมาแล้ว จึงก่อให้เกิดปัญหาสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน เนื่องจากปัจจุบันประชาชนเข้าใจถึงสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของราชการมากขึ้น เมื่อตนไม่ สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารนั้นด้วยความสะดวก รวดเร็ว และเป็นธรรมแล้ว ย่อมมีสิทธิร้องเรียน ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยข้อมูลข่าวสาร ซึ่งกว่าจะได้รับทราบข้อมูลข่าวสารนั้นทำให้เกิดความล่าช้า ดังนั้นเพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของราชการ ผู้ศึกษาจึงได้ เสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาไว้ กล่าวคือ กำหนดมาตรการทางกฎหมายเพื่อลงโทษหน่วยงาน ของรัฐในฐานะผู้บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยตรง เพื่อให้เกิดความกระตือรือร้นในการปฏิบัติ หน้าที่ และเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540รายการ ปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายเกี่ยวกับการจ่ายเงินอุดหนุนเฉพาะกิจแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550(2556-10-16T03:01:59Z) ดรุณี นันทชัยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้ กำหนดแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการกระจายอำนาจทางการเงินและการ คลังให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้มีอิสระในการบริหารงานและรัฐส่วนกลางทำหน้าที่ เพียงกำกับดูแลให้ปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติกำหนดแผนและ ขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542 รวมทั้งระเบียบและ กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตามกฎหมายเกี่ยวกับการจ่ายเงินอุดหนุนเฉพาะกิจแก่องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ซึ่งทำให้มีปัญหา ผลกระทบโดยตรงเกี่ยวกับการบริหารงานของผู้บริหารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ยังมี อุปสรรคหลายประการ เช่น ปัญหาด้านการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลให้แก่องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ด้านอำนาจหน้าที่ในการบริหารเงินอุดหนุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การ แบ่งแยกอำนาจ การกระจายอำนาจ การถอดถอน ด้านการถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ด้านบุคลากร ทางระบบ ทางส่วนราชการ ทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ด้านการ วางแผน จากการวิเคราะห์ พบว่า กฎหมายแม่บทได้ให้อำนาจในการบริหารงานแก่องค์กรปกครอง ท้องถิ่นไว้ตามหลักการกระจายอำนาจ แต่กฎหมายลำดับรองก็ยังไม่สามารถช่วยให้กฎหมายแม่บทมีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่โดยที่กฎหมายลำดับรองไม่สามารถที่จะขัดหรือแย้งกับกฎหมายแม่บท ตามลำดับชั้นของกฎหมายและหลักกฎหมายมหาชนได้ ควรมีการแก้ไขบัญญัติของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการจ่ายเงินอุดหนุน เฉพาะกิจแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้ท้องถิ่นนำงบประมาณไปบริหาร เพื่อการปฏิบัติ ตามภารกิจที่ได้รับควรเพิ่มเติมเนื้อหาในกฎหมายลำดับรองเพื่อให้เป็นแนวทางเดียวกันกับกฎหมาย แม่บทอันได้แก่กฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 เช่น การจัดสรร งบประมาณของรัฐบาลให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรเป็นการจัดสรรเงินอุดหนุนแบบไม่มี เงื่อนไขเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำงบประมาณนั้นไปพัฒนาท้องถิ่นให้ตรงกับความ ช่วยเหลือและความต้องการของประชาชนได้ การบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรเป็นวิธีการกำกับดูแลให้ปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อให้เป็นไปตามหลักกฎหมายแม่บทและเป็นไป ตามหลักการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นผู้บริหารกิจการงานและบริหารในด้านการเงินและการคลังอย่างอิสระภายใต้กรอบอำนาจที่ กฎหมายให้ไว้ การถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องมีการวางแผนงานที่ดีและ ต้องคำนึงถึงความสามารถหรือความพร้อมของบุคลากรผู้ที่จะปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพและเป็น ประโยชน์ต่อประชาชนในส่วนรวมของท้องถิ่นนั้นได้รายการ ปัญหาและอุปสรรคในการบังคับใช้สิทธิบัตรยาตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542(2556-10-20T02:40:31Z) วิศิษศักดิ์ เนืองนองการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงปัญหาและอุปสรรคในการบังคับใช้ สิทธิบัตรยาตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติ สิทธิบัตร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542โดยทำการศึกษาวิเคราะห์พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 ฉบับ แก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542 ในด้านสิทธิบัตรยา หลักกฎหมาย ของประเทศไทยและหลักกฎหมายของต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับสิทธิบัตรยา เพื่อให้ทราบถึง ปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการให้ความคุ้มครองสิทธิบัตรยาตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542 และเพื่อให้ได้ ข้อเสนอแนะแนวทางในการแก้ไขกฎหมายให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น จากการศึกษาพบว่า พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมตาม พระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542 ที่ประเทศไทยได้กำหนดให้ความคุ้มครอง ผลิตภัณฑ์ยาตามข้อตกลงด้านทรัพย์สินทางปัญญาภายใต้ความตกลงทริปส์ (TRIPs) และภายใต้แรง กดดันทางการค้าของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ได้กล่าวอ้างถึงการที่ประเทศไทยใช้มาตรการสำหรับ สิทธิบัตรยาว่าผิดมาตรฐานความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า (TRIPs) ข้อ 27 (1) อันเป็นข้อตกลงที่สำคัญขององค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก จึงทำให้ประเทศไทยต้องยกเลิกมาตรการสำหรับสิทธิบัตรยารวมถึงคณะกรรมการสิทธิบัตรยาใน การแก้ไขพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542 รวมทั้งกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง คือ พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 พระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2541 พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติยา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2530 ซึ่งกฎหมายต่าง ๆ เหล่านี้ไม่สามารถให้ความคุ้มครองและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนใน ประเทศไทยให้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ยาได้ตามหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานทั่วไปที่ประชาชนควรจะ ได้รับ แต่กลับเป็นการให้สิทธิผูกขาดและเป็นประโยชน์กับผู้ทรงสิทธิบัตรยามากจนเกินไป เนื่องจากพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542ได้ให้สิทธิในการผูกขาดแก่ผู้ทรงสิทธิบัตรยาโดยสมบูรณ์ ถึงแม้จะมีมาตรการ บังคับใช้สิทธิ (Compulsory License) มาบังคับใช้ แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการ บังคับใช้สิทธิบัตรยาตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมตาม พระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542 ที่เกิดขึ้นภายในประเทศไทยได้อย่างสมบูรณ์และ ไม่มีมาตรการในการคุ้มครองผลประโยชน์และคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างเหมาะสมภายใต้ การให้ความคุ้มครองสิทธิบัตรยา นอกจากนั้นการยกเลิกมาตรการสำหรับสิทธิบัตรยารวมถึง คณะกรรมการสิทธิบัตรยาทำให้ไม่มีมาตรการที่สามารถนำมาใช้บังคับได้อย่างมีประสิทธิภาพใน การที่จะควบคุมดูแลเกี่ยวกับสิทธิบัตรยาทั้งด้านผลิตภัณฑ์ยาและผู้ทรงสิทธิบัตรยาโดยตรง รวมถึง ปัญหาในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการใช้บังคับตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 ฉบับ แก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542 ดังนั้น ผู้ศึกษาจึงได้เสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหาไว้หลายประการโดยเฉพาะ อย่างยิ่ง การเสนอให้มีการแยกกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิบัตรยาออกจากพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2542 โดยการบัญญัติ กฎหมายลักษณะเฉพาะเกี่ยวกับกฎหมายสิทธิบัตรยามาบังคับใช้ โดยให้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขอยู่ ภายใต้ความคุ้มครองสิทธิมนุษยชน โดยต้องมุ่งเน้นผลประโยชน์ของคุณภาพชีวิตที่ประชาชนใน ประเทศควรได้รับเป็นหลักมากกว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจรายการ มาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดของสภาวิชาชีพร่วมกับสมาชิก(2556-10-20T02:43:50Z) พรวิภา พรพัฒนะสกุลชัยวิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษาความรับผิดของสภาวิชาชีพกับผู้ประกอบวิชาชีพต่อผู้ได้รับความ เสียหาย เนื่องจากพระราชบัญญัติควบคุมผู้ประกอบวิชาชีพได้กำหนดเพียงหลักเกณฑ์ คุณสมบัติ และการควบคุมจรรยาบรรณในการประกอบวิชาชีพของผู้ประกอบวิชาชีพเท่านั้น ซึ่งถ้าผู้ประกอบ วิชาชีพกระทำความผิดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อย่อมมีความผิดเพียงจรรยาบรรณเท่านั้น ถ้า ผู้เสียหายจะฟ้องผู้ประกอบวิชาชีพให้รับผิดในทางแพ่งก็ต้องฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ ว่าด้วยความรับผิดในทางละเมิดตามบทบัญญัติมาตรา 420 ซึ่งผู้เสียหายจะต้องเป็นผู้พิสูจน์ ความผิดว่าผู้ประกอบวิชาชีพกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายอย่างไร ซึ่งเป็นการยากที่จะพิสูจน์ได้ว่ากรณีใดเป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ จากสภาพปัญหาข้างต้นย่อมทำให้ประชาชนผู้เสียหายไม่ได้รับความคุ้มครองจากรัฐหรือ ฝ่ายปกครองเพราะแม้สภาวิชาชีพจะเป็นองค์กรเอกชนก็ตาม แต่มีอำนาจรัฐในการที่จะออก ใบอนุญาตหรือเพิกถอนใบอนุญาต ดังนั้น สภาวิชาชีพย่อมทำหน้าที่แทนรัฐและในขณะเดียวกันก็ ต้องมีมาตรการเพียงพอในการที่จะคุ้มครองประชาชนหรือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายจากการ กระทำของผู้ประกอบวิชาชีพซึ่งมาตรการในการควบคุมจรรยาบรรณอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ ผู้ศึกษาขอเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาทางกฎหมายโดยเห็นควรนำเอามาตรการทาง กฎหมายเกี่ยวกับการให้สภาวิชาชีพของแต่ละวิชาชีพร่วมรับผิดกับผู้ประกอบวิชาชีพ โดยให้มีการ ตรากฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดของสภาวิชาชีพกรณีที่เกิดจากการกระทำโดยจงใจหรือประมาท เลินเล่อของผู้ประกอบวิชาชีพ ทั้งนี้ เพื่อให้บุคคลภายนอกผู้ได้รับความเสียหายได้รับการชดเชย เยียวยาความเสียหายจากการกระทำของผู้ประกอบวิชาชีพเมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นและควรมี พระราชบัญญัติซึ่งเป็นกฎหมายกลางหรือกฎหมายมาตรฐานขั้นต่ำในการควบคุมผู้ประกอบวิชาชีพรายการ มาตรการทางกฎหมายเพื่อนำเกษตรพันธะสัญญามาใช้ส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตรภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(2556-10-20T02:47:38Z) ยลลดา ปิ่นเพชรการศึกษาวิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษามาตรการทางกฎหมายเพื่อนำเกษตรพันธะสัญญามาใช้ ส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตรภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เนื่องจากเกษตรพันธะสัญญาตาม ทฤษฎีถูกนำมาใช้เพื่อรักษาระดับการส่งออกและระดับราคาของสินค้า แต่ในทางปฏิบัติพบว่ามี ปัญหาข้อสัญญาไม่เป็นธรรมหลายประการ ได้แก่ ปัญหาเรื่องบริษัทมีอำนาจต่อรองเหนือกว่า เกษตรกร ปัจจัยการผลิตไม่ได้มาตรฐาน ราคาปัจจัยที่ใช้ในการผลิตมีราคาสูง ใช้เงินลงทุนสูง การ รับภาระความเสี่ยงในการผลิต ระยะเวลาในการรับซื้อผลผลิตไม่แน่นอน เกษตรกรได้รับ ผลตอบแทนไม่คุ้มค่า ขาดทุน ก่อให้เกิดปัญหาเกษตรกรมีหนี้สินจากการทำเกษตรกรรม และรายได้ ไม่คุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไป และเมื่อมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ที่จะถึงนี้ จะทำให้ปราศจากอุปสรรคการค้าทางด้านภาษี และอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี ย่อมส่งผลให้มี สินค้าเกษตรประเภทเดียวกันกับสินค้าเกษตรของประเทศไทยออกมาจำหน่ายมากขึ้น ก่อให้เกิด การแข่งขันที่สูงขึ้น ผู้ศึกษาจึงต้องการศึกษาเพื่อจะนำเกษตรพันธะสัญญามาใช้ส่งเสริมการค้าสินค้า เกษตรภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จากการศึกษาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมสัญญา ซื้อขาย จ้าง แรงงาน จ้างทำของ พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 พระราชบัญญัติการ ซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญัติสภาเกษตรกรแห่งชาติ พ.ศ. 2553 ซึ่ง เป็นกฎหมายไทยที่เกี่ยวกับการทำเกษตรพันธะสัญญา พบว่ายังไม่มีกฎหมายที่จะคุ้มครองเกษตรกร ให้ได้รับความเป็นธรรมได้ และจากการศึกษากฎบัตรอาเซียน แผนงานสู่การรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน ความตกลงการลงทุนของอาเซียน เพื่อแก้ไข ปัญหาการนำเกษตรพันธะสัญญามาใช้ส่งเสริมการส่งออก การนำเข้าสินค้าเกษตร และส่งเสริมการ ประกอบธุรกิจการให้บริการจัดหาคู่เกษตรกรและบริษัทที่ต้องการจะทำเกษตรพันธะสัญญาภายใต้ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้อย่างไร จากสภาพปัญหาดังกล่าวผู้ศึกษาจึงขอเสนอให้มีการบัญญัติกฎหมายเพื่อควบคุมการทำ เกษตรพันธะสัญญาโดยเฉพาะ โดยกำหนดให้การทำเกษตรพันธะสัญญาควรทำตามแบบสัญญา มาตรฐาน และกำหนดให้มีองค์กรที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำเกษตรพันธะสัญญาให้เป็นไปตามแบบ สัญญามาตรฐาน ทำให้บริษัทไม่สามารถกำหนดเงื่อนไขให้แตกต่างจากแบบที่กำหนดไว้ได้ ก็จะ เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรไม่ต้องถูกเอาเปรียบจากการกำหนดข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมได้ และ กำหนดให้มีองค์กรตรวจสอบคุณภาพของปัจจัยการผลิต ผลิตปัจจัยการผลิตจำหน่ายเพื่อช่วยเหลือ เกษตรกร รับประกันภัยผลผลิตทางการเกษตร เป็นต้น นอกจากนี้ต้องมีการกำหนดการบังคับให้ เป็นไปตามกฎหมาย กลไกการบังคับ การบังคับใช้กฎหมาย เพื่อให้กฎหมายสามารถบังคับได้อย่าง มีประสิทธิภาพ และในการนำเกษตรพันธะสัญญามาใช้ส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตรภายใต้ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนนั้น ทางด้านการส่งออกและนำเข้าสินค้าเกษตรทำได้โดยอาศัยความตก ลงการค้าสินค้าของอาเซียน เนื่องจากความตกลงดังกล่าวได้กำหนดให้กลุ่มประเทศสมาชิกจะต้อง ยกเลิกภาษีอากรขาเข้าของสินค้าทุกรายการที่มีการค้าระหว่างประเทศสมาชิก จึงทำให้การค้า ปราศจากอุปสรรคทางการค้าด้านภาษี และอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี ส่วนที่ต้องการส่งเสริม การประกอบธุรกิจการให้บริการจัดหาคู่เกษตรกรและบริษัทที่ต้องการจะทำเกษตรพันธะสัญญานั้น ทำได้โดยอาศัยความตกลงการลงทุนของอาเซียนซึ่งครอบคลุมกิจการบริการที่เกี่ยวเนื่องกับ 5 สาขา รวมทั้งสาขาเกษตรด้วยรายการ ปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายในการประกอบวิชาชีพวิศวกรโยธาภายใต้กรอบการเปิดเสรีการค้าอาเซียน(2556-10-20T02:51:35Z) นำโชค หมั่นทำวิทยานิพนธ์นี้มุ่งศึกษาปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายในการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม โยธาภายใต้กรอบการเปิดเสรีทางการค้าอาเซียน (Legal Problems and Obstacles in carrying out Civil Engineering Profession under the framework of the ASEAN Free Trade Agreement (AFTA)) โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อสร้างความร่วมมือกันในการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน ก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือระหว่างประเทศ อันเกิดจากการจัดทำข้อตกลงยอมรับร่วมกัน (Mutual Recognition Arrangements: MRAs) ให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือใน 7 สาขาวิชาชีพ ซึ่ง หนึ่งในวิชาชีพนั้นคือ “วิชาชีพวิศวกรรม” โดยมีข้อตกลงว่าแต่ละประเทศจะต้องยอมรับซึ่งกันและ กันในคุณสมบัติ มาตรฐาน ทักษะ ความสามารถในการประกอบวิชาชีพหรือในการทำงานของ แรงงานระหว่างประเทศสมาชิกเช่นเดียวกันผู้ประกอบวิชาชีพในประเทศของตนและยอมรับ คุณสมบัติด้านการศึกษาที่ใช้ในการประกอบวิชาชีพ (Professional education) ซึ่งพิจารณาได้จาก วุฒิบัตรทางการศึกษาหรือคุณสมบัติด้านประสบการณ์จากการประกอบวิชาชีพ (Professional experience) และคุณสมบัติด้านการได้รับใบอนุญาต (License) หรือการได้รับใบรับรองการศึกษา (Certification) การประกอบวิชาชีพนั้น ๆ อย่างเป็นทางการ รวมทั้งการสอบและการเป็นสมาชิก ขององค์กรวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการผ่อนปรนในส่วนของการเข้าเมืองและการทำงานด้วย แต่ ถ้าจะมาประกอบวิชาชีพวิศวกรรรมในประเทศไทยต้องอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ.2542 พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 และพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 จากปัญหาข้างต้นผู้ศึกษาวิเคราะห์ว่า พระราชบัญญัติสภาวิศวกร พ.ศ.2542 และ พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 และพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ที่เป็นกฎหมายแม่บทในการบังคับใช้กับวิชาชีพวิศวกรรมในประเทศไทยก่อให้เกิดปัญหาและอุปสรรคที่วิศวกร ชาวต่างชาติของประเทศคู่ภาคีไม่อาจจะมาประกอบวิชาชีพวิศวกรภายในประเทศไทยได้เพราะขาด คุณสมบัติในการมีสัญชาติไทยและสถานภาพตามกฎหมายคนเข้าเมือง ความรับผิดของวิศวกร รวมทั้งการควบคุมคุณภาพของวิชาชีพวิศวกร จากปัญหาข้างต้นผู้ศึกษาขอเสนอแนะว่าเพื่อให้กฎหมายภายในของประเทศไทย สอดคล้องกับข้อตกลงยอมรับร่วมกัน (MRAs) เกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรี จึงควรที่จะแก้ไข บทบัญญัติของพระราชบัญญัติสภาวิศวกร พ.ศ.2542 และข้อกำหนดการขออนุญาตตรวจลงตราให้ ได้รับสิทธิอยู่ในประเทศไทยได้ตามกรอบของงานที่ทำโดยกำหนดให้วิศวกรโยธาชาวต่างชาติ สามารถที่จะยื่นขอรับใบอนุญาตการประกอบวิชาชีพวิศวกรโยธาได้และให้ได้รับการพิจารณา จัดลำดับชั้นของวิศวกรโยธาชาวต่างชาติตามมาตรฐานเดียวกับลำดับชั้นของวิศวกรโยธาชาวไทย แต่ทั้งนี้เพื่อมิให้วิศวกรโยธาชาวต่างชาติเข้ามาแย่งงานวิศวกรโยธาชาวไทยเกินสมควร สภาวิศวกร อาจกำหนดเงื่อนไขสำหรับใบอนุญาตของวิศวกรโยธาชาวต่างชาติให้สามารถทำงานได้ในลักษณะ ที่เป็นงานก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ ที่มีการลงทุนจากเงินตราของนักลงทุนต่างประเทศเท่านั้นก็ได้ และควรกำหนดความรับผิดของวิศวกรผู้ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเสียหายอย่างชัดเจน ไม่ควรปล่อยให้ นำหลักทั่วไปในทางแพ่งและทางอาญามาปรับใช้กับความรับผิดของวิศวกรและควรบัญญัติถึง ความรับผิดของผู้ซึ่งเกี่ยวข้องกับวิศวกรที่ประกอบวิชาชีพด้วย โดยนำหลักความรับผิดโดยเคร่งครัด มาใช้บังคับกับผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรและผู้เกี่ยวข้อง และเพื่อเป็นการเยี่ยวยาหรือสร้าง หลักประกันให้กับผู้ซึ่งอาจต้องเสียหายจากการประกอบวิชาชีพของวิศวกร ควรนำหลักการ ประกันภัยเข้ามาบังคับใช้กับวิศวกรและผู้เกี่ยวข้อง โดยการประกันภัยดังกล่าวควรมีเงื่อนไขที่คล อบคลุมความเสียหายในทุก ๆ ด้าน และคลอบคลุมความเสียหายเต็มจำนวนหรืออย่างน้อยก็ให้ ได้รับการชดเชยค่าเสียหายให้พอสมควร และควรนำหลักค่าเสียหายเชิงลงโทษมาบังคับใช้กับกรณี ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการประกอบวิชาชีพวิศวกรโยธา โดยให้ศาลได้มีโอกาสกำหนด ค่าเสียหายเชิงลงโทษได้ตามควรแก่พฤติการณ์แห่งความร้ายแรงในการประกอบวิชาชีพวิศวกร โยธารายการ ปัญหาในทางกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมดูแลธุรกิจและการผลิตเกมคอมพิวเตอร์(2556-10-20T02:55:42Z) ตันติกร สิรเวทย์การศึกษาปัญหาในทางกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมดูแลธุรกิจและการผลิตเกม คอมพิวเตอร์มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสำคัญของปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการประกอบ ธุรกิจผลิตเกมคอมพิวเตอร์ และมาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวกับการควบคุมและดูแลการประกอบ ธุรกิจเกมคอมพิวเตอร์ของกฎหมายต่างประเทศ กฎหมายของประเทศไทย พร้อมทั้งทำการวิเคราะห์ ปัญหาทางกฎหมายที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจผลิตเกมคอมพิวเตอร์และค้นคว้าหาแนวทางที่ เหมาะสมเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจผลิตเกม คอมพิวเตอร์โดยการวิจัยในวิทยานิพนธ์นี้ใช้วิธีการวิจัยเอกสาร (Documentary research) โดย ค้นคว้าจากเอกสารทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ รวมทั้งข้อมูลต่างๆ อันเกี่ยวข้องกับการ ประกอบธุรกิจเกมคอมพิวเตอร์ ตลอดจนตำรากฎหมาย บทความทางวิชาการในสาขานิติศาสตร์ และสาขาอื่นที่เกี่ยวข้องค้นคว้าในห้องสมุดของทางมหาวิทยาลัย และของทางสถาบันต่าง ๆ รวมทั้ง ข้อมูลที่ได้จากการค้นคว้าทางอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อนำมา วิเคราะห์และนำมาแก้ไขปัญหาทางกฎหมายต่อไป ผลการวิจัย พบว่าจากการศึกษาปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ ธุรกิจผลิตเกมคอมพิวเตอร์ดังกล่าวข้างต้น สามารถสรุปได้ว่าปัจจุบันนี้ในประเทศไทยยังไม่มี หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงเกี่ยวกับการกระทำความผิดของธุรกิจเกมคอมพิวเตอร์โดยตรง ซึ่ง ในปัจจุบันนี้ทางภาครัฐทำได้เพียงให้แต่ละหน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ ช่วยกันรับผิดชอบในแต่ละปัญหาที่เกิดขึ้นและแตกต่างกันไปถือเป็นประเด็นปัญหาที่สำคัญที่สุด ที่ ทางภาครัฐจะต้องเร่งจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบการกระทำความผิดของธุรกิจผลิตเกมคอมพิวเตอร์โดยตรงเพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับผู้ประกอบธุรกิจผลิตเกม และผู้ประกอบกิจการร้านเกม คอมพิวเตอร์ปัจจุบันนี้และในอนาคตต่อไป จากการศึกษาทางด้านมาตรการควบคุมจากร่างพระราชบัญญัติควบคุมผู้ประกอบธุรกิจ เกี่ยวกับเกมออนไลน์และเกมคอมพิวเตอร์ สามารถสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้ พระราชบัญญัติฉบับนี้ มีโทษอาญารุนแรง แต่การบังคับใช้กฎหมายกลับกำหนดไว้ไม่ชัดเจนระหว่างความผิดทาง คอมพิวเตอร์กับความผิดทางอาญา แม้กฎหมายจะให้ความคุ้มครองทางสิทธิเสรีภาพ แต่กลับมี ข้อยกเว้นโดยใช้ข้ออ้างความมั่นคงและเรื่องศีลธรรมขณะที่กฎหมายต่างประเทศจะมีข้อห้าม เพียง ไม่ให้เผยแพร่ภาพลามกอนาจาร ดังนั้นจึงเห็นว่ากฎหมายที่บังคับใช้ เขียนเอาไว้กว้างเกินไปคำ นิยามไม่ชัดเจนจนอาจเกิดปัญหาการตีความในอนาคตรัฐบาลอาจมีอำนาจขอข้อมูลจากผู้ดูแลเว็บ ไซด์ คล้ายกับประเทศจีนและสิงคโปร์ ซึ่งรัฐบาลสามารถควบคุมโครงสร้างอินเตอร์เน็ตได้อย่าง เบ็ดเสร็จ จึงควรออกกฎหมายคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ เพื่อไม่ให้กระทบกับสิทธิส่วนบุคคลและข้อมูล ส่วนตัวและที่สำคัญ การสั่งบล็อคเวบไซด์จะทำได้เมื่อมีคำสั่งศาล และรัฐมนตรีต้องรับทราบ แต่ เนื่องจากทางภาครัฐขาดการประชาสัมพันธ์ ทำให้คนทั่วไปไม่เข้าใจ ยืนยันว่าเว็บไซด์ที่จะถูกบล็อค ได้ต่อเมื่อมีเนื้อหาเป็นความผิดต่อองค์พระประมุข การก่อการร้าย และขัดต่อศีลธรรมอันดี เช่นเรื่อง ภาพ ลามกอนาจาร นอกเหนือจากนี้ไม่เข้าข่าย อีกทั้งกฎหมายยังมีบทลงโทษเจ้าพนักงานที่ใช้ อำนาจหน้าที่โดยมิชอบอย่างเคร่งครัด แม้แต่ระดับอธิบดี ก็ไม่สามารถใช้อำนาจเกินขอบเขตในการ เข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใต้บังคับบัญชาแต่จะต้องประกาศให้ชัดเจนว่าเจ้าพนักงานและ เจ้าหน้าที่ที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบเว็บไซด์จะต้องมีคุณสมบัติอย่างไร เพื่อป้องกันไม่ให้ ผู้ประกอบการถูกใส่ร้ายผ่านอินเตอร์เน็ต การยึดอายัดคอมพิวเตอร์ไปตรวจสอบ จะต้องมีขั้นตอน การตรวจสอบที่โปร่งใสรายการ ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับธุรกิจการค้ามนุษย์บนสื่ออิเล็กทรอนิกส์:ศึกษากรณีการขายบริการทางเพศบนเว็บแคม(2556-10-20T03:00:41Z) ชัยยุทธ เลิศหทัยดีจากการศึกษาในครั้งนี้พบว่าปัญหาในปัจจุบันยังคงมีการค้าประเวณีกันมาก และมีการ พัฒนามาเป็นการค้ามนุษย์พัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีหรือที่เรียกกันว่าสื่ออิเล็กทรอนิกส์จากเดิมเป็น การเขียนให้ปรากฏตัวอักษรแต่ปัจจุบันมีกล้องที่เป็นอุปกรณ์เสริมทางคอมพิวเตอร์โดยมี อินเทอร์เน็ต (Internet) เป็นตัวเชื่อมโยงผ่านระบบแคมฟร็อกหรือที่เรียกว่าเว็บแคม ซึ่งทำให้การค้า มนุษย์เป็นการค้าที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการติดต่อสื่อสาร ซึ่งมีรูปแบบการสมัครสมาชิกใน ระบบดังกล่าวและสามารถเลือกคู่สนทนาโดยเห็นหน้าตากันในระบบนี้หากผู้ใช้ได้เข้าใจในระบบ ดังกล่าวและสามารถใช้ระบบอย่างถูกวิธีโดยการติดต่อสื่อสารในรูปแบบธุรกิจก็สามารถทำให้ ธุรกิจได้รับความสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่บุคคลบางกลุ่มกลับนำระบบดังกล่าวมาใช้ในทางที่ ผิดกฎหมายและขยายไปถึงการก่อให้เกิดอาชญากรรมขึ้นในสังคมได้ จะเห็นว่าเมื่อมีการนำเทคโนโลยีมาใช้สื่อสารไปในทางที่ผิดจากเจตนารมณ์เป็นรูปแบบ การขายบริการทางเพศลักษณะธุรกิจโดยมีการเสนอราคาและตกลงราคากันโดยใช้ระบบเว็บแคม เป็นตัวเชื่อมธุรกิจดังกล่าวนี้เป็นธุรกิจที่แอบแฝงการกระทำผิดทางเพศและส่อสื่อลามกอนาจารโดย การโชว์ร่างกายผ่านกล้องเว็บแคมเพื่อเสนอราคาที่ได้ความพอใจและชำระเงินผ่านบัตรเครดิตโดย ระบบออนไลน์เข้าบัญชี จากการดำเนินธุรกิจดังกล่าวนี้เป็นการเกิดพฤติกรรมรูปแบบใหม่บนสื่อดัง กล่าวคือการแสดงลักษณะยั่วยุทางเพศรวมไปถึงการร่วมเพศในลำดับต่อมา ซึ่งผู้รับบริการสามารถ เข้าชมได้โดยต้องมีกล้องเว็บแคมเป็นตัวเชื่อมกับอินเทอร์เน็ตจึงสามารถเข้าระบบออนไลน์ได้ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 287 และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 ยังไม่สามารถระบุความรับผิดของบุคคลที่ทำธุรกิจรูปแบบการขายบริการทางเพศบนสื่ออิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นการขายบริการที่มีรูปแบบเป็นอิสรเสรี การประกอบธุรกิจดังกล่าวนี้เป็นการ นำเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาในระบบดังกล่าวมาใช้เพื่อติดต่อสื่อสารธุรกิจ แต่เมื่อธุรกิจดังกล่าวเป็น การขายบริการทางเพศเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่หลบหนีการกระทำความผิดจึงทำให้ปัจจุบันมีการ เสนอขายบริการทางเพศผ่านระบบดังกล่าวอยู่บ่อยครั้ง จึงควรมีกฎหมายลงโทษผู้ให้เช่าพื้นที่ของ ระบบดังกล่าวมารับผิดเนื่องจากยังไม่มีกฎหมายกำหนดความผิดที่ชัดเจน มาตรการความรับผิดของธุรกิจทางเพศในระบบเว็บแคมยังคงเป็นปัญหาที่ไม่สามารถนำ ตัวบทกฎหมายที่ชัดเจนมาบังคับใช้ เนื่องจาก “การค้าประเวณี” ตามพระราชบัญญัติป้องกันและ ปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 เป็นการยอมให้บุคคลอื่นร่วมเพศหรือการกระทำอื่นใดเพื่อ สำเร็จความใคร่ในกามารมณ์ของผู้อื่นแต่ไม่ได้หมายรวมถึงการร่วมเพศกันโดยให้ผู้รับบริการชม ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบเว็บแคม เช่นนี้จึงเกิดปัญหาว่า การกระทำเช่นนี้เป็นการค้ามนุษย์ ตามคำนิยามในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 รวมถึงผู้เช่ากับผู้ให้ เช่าพื้นที่บริการทางอินเทอร์เน็ตที่ต้องมีมาตรการทางกฎหมายในการร่วมรับผิดด้วย