Please use this identifier to cite or link to this item:
http://dspace.spu.ac.th/handle/123456789/9330
Title: | ปัญหากฎหมายในการแจ้งเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 |
Other Titles: | LEGAL PROBLEMS ON REPORTING OF PERSONAL DATA BREACH ACCORDING TO THE PERSONAL DATA PROTECTION ACT B.E. 2562 (2019) |
Authors: | กนกพร เหลือสาคร |
Keywords: | การแจ้งเหตุละเมิด ข้อมูลส่วนบุคคล |
Issue Date: | 2566 |
Publisher: | มหาวิทยาลัยศรีปทุม |
Citation: | กนกพร เหลือสาคร. 2566. "ปัญหากฎหมายในการแจ้งเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562." สารนิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต กลุ่มวิชากฏหมายธุรกิจ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม. |
Abstract: | สารนิพนธ์ฉบับนี้ ได้ศึกษาแนวคิด และทฤษฎีเกี่ยวกับการแจ้งเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยศึกษากฎหมายของประเทศไทย ได้แก่ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และกฎหมายต่างประเทศ ได้แก่ สหภาพยุโรป สาธารณรัฐสิงคโปร์ ประเทศญี่ปุ่น และประเทศแคนาดา จากการศึกษาพบว่า มีปัญหากฎหมายในการแจ้งเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ได้แก่ ปัญหาพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาตรา 37 (4) “แจ้งเหตุการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลแก่สำนักงานโดยไม่ชักช้าภายในเจ็ดสิบสองชั่วโมง นับแต่ทราบเหตุเท่าที่จะสามารถกระทำได้ เว้นแต่การละเมิดดังกล่าวไม่มีความเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ในกรณีที่การละเมิดมีความเสี่ยงสูงที่จะมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ให้แจ้งเหตุการละเมิดให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบพร้อมกับแนวทางการเยียวยาโดยไม่ชักช้าด้วย ทั้งนี้ การแจ้งดังกล่าวและข้อยกเว้นให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการประกาศกำหนด” ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวยังขาดความชัดเจนอยู่มาก เนื่องจากไม่มีการกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่ากรณีใดบ้างที่ต้องแจ้งเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ต่อมาปัญหากฎหมายในการแจ้งเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลไปยังสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พบว่าการนับระยะเวลา 72 ชั่วโมงนั้น เป็นการบัญญัติกฎหมายที่เคร่งครัดมากเกินไป เนื่องจากหากเป็นกรณีที่เกิดการรั่วไหลของข้อมูลนั้นไม่ร้ายแรง หรือไม่น่าจะเกิดผลกระทบกับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ควรต้องแจ้งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เนื่องจากไม่เกิดประโยชน์กับผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลและเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล สุดท้ายปัญหาบทลงโทษทางอาญา เนื่องจากในกรณีที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 เช่น เกิดเหตุละเมิดอันเกี่ยวเนื่องกับข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งเป็นข้อมูลละเอียดอ่อนโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นเกิดความเสียหาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ซึ่งการกำหนดโทษอาญาตามพระราชบัญญัตินี้ ไม่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย เนื่องจากลักษณะของพระราชบัญญัตินี้ มีขึ้นเพื่อคุ้มครองสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล จึงจำเป็นต้องเสนอแนวทางในการเพิ่มเติมกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแจ้งเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาตรา 37 (4) เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ดังนั้น สารนิพนธ์ฉบับนี้ เสนอแนะในประเด็นที่ 1 ว่าให้กำหนดให้ชัดเจนว่ากรณีใดบ้างที่ต้องแจ้งเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาตรา 37 (4) และกำหนดกว่ากรณีใดบ้างที่ไม่ต้องแจ้งเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ประเด็นที่ 2 เสนอให้แก้ไขจุดเริ่มต้นการนับระยะเวลา 72 ชั่วโมง ในพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมาตรา 37 (4) โดยควรให้เริ่มนับเมื่อผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลได้ประเมินสถานการณ์เบื้องต้นแล้วว่าเป็นกรณีที่ต้องแจ้งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งจะเหมาะสมกับการบังคับใช้กฎหมายมากกว่า เนื่องจากการกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องแจ้งเหตุละเมิดดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลภายใน 72 ชั่วโมง จะทำให้เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานเป็นอย่างมาก และประเด็นที่ 3 เสนอให้ใช้โทษปรับเป็นพินัยแทนบทลงโทษทางอาญา เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยได้มีการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 ขึ้นบังคับใช้ โดยมีการกำหนดในเรื่องของค่าสินไหมทดแทนค่าปรับ มากกว่าที่จะให้เป็นโทษจำคุก ด้วยเหตุกรณีนี้เป็นเพียงการฝ่าฝืน ไม่ใช่อาชกรรมร้ายแรง จะเกิดความเหมาะสมในการบังคับใช้กฎหมายมากกว่า และจะช่วยทำให้ประชาชนที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการทางอาญา และไม่มีประวัติอาชญากรรมติดตัวอีกต่อไปการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จะเป็นกลไกทางกฎหมายเพื่อสร้างความเป็นธรรมและขจัดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และส่งเสริมการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น |
Description: | ตารางประกอบ |
URI: | http://dspace.spu.ac.th/handle/123456789/9330 |
Appears in Collections: | LAW-11. การค้นคว้าอิสระ/สารนิพนธ์ |
Files in This Item:
File | Description | Size | Format | |
---|---|---|---|---|
1. หน้าปก.pdf | 64.86 kB | Adobe PDF | View/Open | |
2. บทคัดย่อไทย-อังกฤษ.pdf | 279.91 kB | Adobe PDF | View/Open | |
3. กิตติกรรมประกาศ.pdf | 62.83 kB | Adobe PDF | View/Open | |
4. สารบัญ.pdf | 123.04 kB | Adobe PDF | View/Open | |
5. บทที่ 1.pdf | 313.93 kB | Adobe PDF | View/Open | |
6. บทที่ 2.pdf | 502.98 kB | Adobe PDF | View/Open | |
7. บทที่ 3.pdf | 842.08 kB | Adobe PDF | View/Open | |
8. บทที่ 4.pdf | 180.47 kB | Adobe PDF | View/Open | |
9. บทที่ 5.pdf | 123.54 kB | Adobe PDF | View/Open | |
10. บรรณานุกรม.pdf | 200.51 kB | Adobe PDF | View/Open | |
11. ประวัติผู้เขียน.pdf | 79.65 kB | Adobe PDF | View/Open | |
เล่มสารนิพนธ์ คุณ กนกพร เหลือสาคร.pdf | 2.63 MB | Adobe PDF | View/Open |
Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.